Saturday, May 30, 2009
ร้านซีฟู้ดอร่อยๆที่ขึ้นชื่อของกรุงเทพฯ
> วันนี้มีร้านซีฟู้ดอร่อยๆที่ขึ้นชื่อของกรุงเทพฯมาแนะนำให้รู้จักค่ะ เผื่อใครสนใจอยากรับประทานอาหาร
> ทะเลสดๆจะได้ลองไปหาชิมดู(แต่อย่าชิมไปบ่นไปนะ) เพราะร้านที่เอามาแนะนำนี้เค้าได้รับการการันตี
> จากหลายสำนัก(ชวนชิม)แล้วว่าอร่อยเลิศ..ประเสริฐศรีค่า ถ้าไม่เชื่อก็ต้องไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง ^ ^
> สมศักดิ์ ปูอบ ซ.เจริญรัถ
> (Embedded image moved to file: pic38171.jpg)relax4.jpg
> ปูอบวุ้นเส้นเจ้านี้สดมากๆ คอนเซ็ปต์ คือ อบปูเป็นๆ ถ้าตาย ไม่ขาย ทิ้งลูกเดียว ระดับความเก๋า 10
> ปี
> Location ริมถนนซ้ายมือ ซ.เจริญรัถ 1 วงเวียนใหญ่ ขาย 17.00-23.00 น. หยุดทุกวันจันทร์
> โทร. 0-8182-3970-6
>
> ต๋อย & คิด ซีฟู๊ดเยาวราช(Embedded image moved to file: pic33675.jpg)relax5.jpg
> มาเยาวราชต้องมาร้านนี้ สังเกตง่ายๆพนักงานเสิร์ฟใส่เสื้อสีเขียว อยู่ปากซอยเท็กซัส … ชื่อร้านมา
> จากชื่อของพี่ต๋อยเจ้าของกับพี่คิดน้องชาย ทั้งคู่จะผลัดกันมาดูแลร้านคนละสัปดาห์ เมนูที่ไม่ควรพลาดคือ
> เมนูซีฟู้ดเผาทั้งหลายเพราะเค้าคัดมาสดๆทั้งนั้น ระดับความเก๋า 20 ปี
> Location ปากซอยเท็กซัส สุกี้ หัวมุมถนนผดุงด้าว ขายทุกวัน 16.30-02.00 น.
> โทร.0-2223-4519 เบอร์พี่ต๋อย 0-8150-7555-5 เบอร์พี่คิด 0-8150-8999
>
> เจ๊ไข่ ประชาชื่น
> (Embedded image moved to file: pic06930.jpg)relax6.jpg
> สมัยเจ๊ไข่เพิ่งเริ่มกิจการร้านนี้มีแค่ 1 คูหาเท่านั้น แต่เวลาผ่านไป 30 ปี ได้ขยับขยายมาเป็น 5 คูหา
> เมนูเลื่องชื่อคือปลากระพงเผาเกลือที่สั่งกันแทบทุกโต๊ะ หลายคนติดใจน้ำจิ้มรสเด็ดและขนาดของปลา ปู
> กุ้ง หอยที่มีขนาดใหญ่น่ากิน โดยเฉพาะกุ้งแม้น้ำแท้ๆ(ไม่เลี้ยง) อัดแน่นด้วยมันกุ้ง แถมเนื้อแน่นหวาน
> อร่อย จานเดียวไม่พอต้องขอสอง ระดับความเก๋า 30 ปี
> Location ริมถนนประชาชื่นซอย 34 บางซื่อ ขายทุกวัน 16.00-01.00
> น.โทร.0-2585-3641,0-8188-9373-9
>
> เบียร์หิมะ ประชานิเวศน์
> (Embedded image moved to file: pic28623.jpg)relax7.jpg
>
> ร้านอาหารซีฟู้ดส่วนใหญ่มักจะเปิดขายกันตอนเย็นๆ แต่ร้านนี้เปิดขายตั้งแต่ 11 โมงเช้า ดึงดูดลูกค้าที่
> อดใจรอถึงตอนเย็นไม่ไหว…ร้านนี้เขาใช้ของสดๆ ที่ว่ายอยู่ในตู้ ไม่ว่าจะเป็นกั้งตัวเกือบเท่าแขน กุ้ง
> มังกร หอยแครงสดๆ จานเด็ดที่สั่งกันทุกโต๊ะ คือ กุ้งตะกาดอบเกลือ รสหวานและเนื้อแน่น ที่สำคัญมี
> หลายตัว แบ่งกันกินได้ครบทุกคน ระดับความเก๋า 12 ปี
> Location ถนนเทศบาลสงเคราะห์ ประชานิเวศน์ เลยบองมาร์เช่มาร์เก็ตไปจะอยู่ฝั่งตรงข้าม
> ธนาคารกรุงศรีฯ ขายทุกวัน 11.00-23.00 น. โทร.0-2954-3404-5
> เรือศรีพลฯ อสมท.
> (Embedded image moved to file: pic03844.jpg)relax8.jpg
> ขอบอกว่าไม่ใช่นึกอยากจะมากินร้านนี้ก็ดุ่ยๆเดินเข้ามาเฉยๆนะ กฎของร้านมีอยู่ว่า ต้องโทรจองล่วง
> หน้าประมาณ 1 วัน ไม่งั้นอด … เพราะที่นี่เขารับของสดๆ มาจากมหาชัยวันต่อวัน ไม่มีสั่งมาเก็บไว้
> แถมพี่โจเจ้าของร้านลงมือทำเองปรุงเองทุกจาน มีเมนูประมาณ 10 อย่าง ใครอยากกินนอกเหนือจาก
> นี้ห้ามค่ะ เพราะพี่เขาการันตีว่า 10 จานนี้คือสุดยอดจานถนัดวัตถุดิบคัดสรรมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นปู
> ขนาดยักษ์ หอยแครงและหอยแมลงภู่ขนาดบิ๊กไซส์ ปลาหมอทะเลที่หากินยาก ระดับความเก๋า 8 ปี
> Location แยก อสมท. ทางเข้าช่อง 9 อสมท. ติดธนาคารทหารไทย ขายจันทร์-เสาร์
> 11.00-14.00 น. และ 17.00-23.00 น. อาทิตย์ 17.00-23.00 น. โทร.0-2246-6402,
> 0-8183-8561-8
> เจ๊เลี๊ยบ สนามเป้า
> (Embedded image moved to file: pic65213.jpg)relax9.jpg
> ถ้าข้ามมาย่านนี้ไม่มีใครไม่รู้จักร้านเจ๊เลี๊ยบ ที่ขึ้นชื่อเต็มป้ายว่า ‘ร้านอาหาร ‘ทะเล‘ อร่อยที่สุด
> ระดับ 5 ดาว‘ … มาถึงร้านแล้วไม่สั่งหอยเชลล์เผาทรงเครื่องและต้มยำหัวปลาเก๋าถือว่ามาไม่ถึง
> เพราะถือเป็นเมนูจานเด็ดของร้าน และยังมีเมนูอื่นๆ ให้เลือกอีก 100 กว่าอย่าง พร้อมน้ำจิ้มอีก 10
> ชนิด ซึ่งไม่ได้เสิร์ฟพร้อมกันทีเดียว เขาจะดูว่าสั่งอะไรจึงค่อยเสิร์ฟน้ำจิ้มที่เหมาะกับจานนั้นมาให้
> ระดับความเก๋า 21 ปี
> Location ข้างโรงพยาบาลพญาไท 2 ตรงข้ามช่อง 5 สนามเป้า ถนนพหลโยธิน ขายทุกวัน
> 18.00-04.00 น. โทร.0-2619-8639,0-8657-4586-9,0-8129-6627-4,0-8382-8524-0
>
> The Park By น้องเนยซีฟู้ด
> (Embedded image moved to file: pic06924.jpg)relax10.jpg
>
> จุดเด่นของร้านน้องเนยซีฟู้ดคือ อยู่ติดกับสวนสาธารณะ อากาศบริสุทธิ์ ด้านหน้าเป็นทะเลสาบเล็กๆ มี
> น้ำพุ มีเรือถีบด้วย … ร้านขนาดใหญ่จุคนได้หลายร้อยคนแถมร้านยังอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบอย่างมหาชัยและ
> บางขุนเทียน จึงพร้อมเสิร์ฟอาหารทะเลสดๆ เป็นๆ อัดแน่นด้วยคุณภาพให้ลูกค้าเต็มที่ อาหารยอดฮิตคือ
> กะทะลอยฟ้า, ปูเนื้อผัดพริกไทย, ปลากระพง The Park ใช้ปลากระพงตัวโตและสดมาก ทอดแบบ
> กรอบนอกนุ่มใน ราดน้ำยำรสแซ่บ
> Location หลังเซ็นทรัล พระราม 2 เปิดทุกวัน 10.30-22.30 น. โทร.0-2453-1701-4
>
> The Fabric
> (Embedded image moved to file: pic35849.jpg)relax12.jpg
> แปลตรงๆว่า ‘ร้านลานผ้า‘ เป็นร้านหนึ่งในเครือร้านบ้านตากอากาศ สไตล์การตกแต่งแสนเก๋ มีผ้า
> ประดับอยู่ทั่ว … อาหารรับประทานเล่นขึ้นชื่อของร้านนี้ต้องลอง “ปูกะตอย” ปูตัวเล็กๆ ทอดกรอบ หอม
> รสเผ็ดของพริกไทยดำ จิ้มน้ำจิ้มรสเด็ด , “หมึกแดดเดียว” เคี้ยวนุ่ม
> Location ถนนเกษตร-นวมินทร์ เปิดทุกวัน 18.00-02.00 น. โทร.0-2943-8807
>
> หัวหิน
> (Embedded image moved to file: pic57461.jpg)relax11.jpg
> บ้านเก่าตกแต่งสไตล์ย้อนยุค 70 ใครมารับรองต้องประทับใจกับบรรยากาศร้านที่ตั้งใจทำออกมาให้เป็น
> เหมือนบ้านพักตากอากาศที่หัวหินจริงๆ … เมนูอร่อยคือยำตระไคร้ปลาสลิด ต้มแซ่บกระดูกอ่อน ห่อหมก
> ทะเล พล่าปลาแซลมอน ยำถั่วพลูนอกจากติดใจบรรยากาศแล้วรับรองต้องติดใจรสชาติอาหารด้วยแน่
> นอน
> Location ซอยลาดพร้าว 71 เปิดทุกวัน17.00 - 24.00 น. โทร.0-2514-2422
>
> เกาะเสม็ด(Embedded image moved to file: pic30792.jpg)relax13.jpg
>
> ข้ามฝั่งมาย่านราษฏร์บูรณะ มีเกาะเสม็ดตั้งอยู่ ไม่ต้องงง เพราะนี่คือ ร้านอาหารเล็กๆ บรรยากาศ
> ชิลๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่คนแถวนี้มักบอกต่อกันมา … ภายในร้านมีโซนนั่งอยู่ 3 โซน คือ โซ
> นบังกะโลสำหรับนั่งฟังเพลงฝรั่งเบาๆ โซนเกาะเสม็ด อยู่บนที่สูงหน่อย สำหรับนั่งรับลมเย็นๆริมน้ำ มา
> นี่สั่งเลย “ยำกุ้งกระเทียม” “ทอดมันทูน่า” และ “ต้มแซ่บเนื้อเปื่อย” อร่อยชัวร์
> Location หลังบิ๊กซี ราษฏร์บูรณะ ติดริมน้ำ เปิดทุกวัน 17.00-01.00 น. โทร.0-8922-5987-9,
> 0-8910-5996-8
>
>
เทคนิคการบันทึกเบอร์โทรศัพท์ ที่มีเบอร์ต่อ
เทคนิคการบันทึกเบอร์โทรศัพท์ ที่มีเบอร์ต่อ
เชิญเพื่อนๆ ฟังทางนี้กับเทคนิคดีๆ ในการบันทึกเบอร์โทรทัพศ์ลงในมือถือ ที่ต้องมีเบอร์ต่อ อย่างเช่น
เบอร์ 0-43221987-6543 ต่อ 191 อะไรประมาณเนี่ย.. ซึ่งยุ่งยากกับมือถือ เวลาที่เราโทรออกแล้ว
แบบว่า.. ต้องมานั่งจำตัวเลขอีก หลังจากกดโทรแล้วว่า.. ต้อง "กดต่อ." เลขอะไรหว่า. วันนี้เรา
หาทางออกให้เพื่อนๆ ที่ต้องเจอกับการ "กดต่อ." ได้แล้ว เพื่อนๆ รู้รึมั้นว่า.. มือถือของเราๆ นั้นมี
ความฉลาดในการจำแทนเรา โดยเฉพาะเบอร์โทรที่มีตัวเลขมากมาย เพียงแค่เราบันทึกไว้ในเครื่อง
พร้อมชื่อเท่านี้ จากนั้นแค่เราพิมพ์ชื่อค้นหาก็โทรออกอัตโนมัติได้เลย
แต่. แต่ทว่า... เบอร์โทรที่จะบันทึกนั้น เกิดไม่ได้โทรแล้วติดเลยล่ะ มันต้องมีการ "กดต่อ." เพิ่มขึ้น
มาจะทำยังงัย? ก็ไม่เห็นจะอยากอะไร บอกแล้วว่า.. มือถือของเรามีความฉลาด เพียงแค่เรารู้วิธีใช้
ให้เป็นเท่านั้นเอง เช่นว่า..หากเพื่อนๆ ต้องการจะบันทึก เบอร์ 02-987-6543 ต่อ 191 ก็ให้เพื่อนๆ
บันทึกเป็น 029876543p191 เพียงเท่านี้แหละ เมื่อเพื่อนๆ ทำการโทรออกไปที่เบอร์ที่บันทึกนี้
ไว้ โทรศัพท์มือถือของเพื่อนๆ ก็จะทำการโทรไปที่หมายเลข 029876543 นี้ก่อน จากนั้นเมื่อโทรติด
แล้ว มันจะเว้นช่วงนิดนึง และจะกดหมายเลข 191 ให้เพื่อนๆ อัตโนมัติทันที เห็นมะบอกแล้วว่า.. มือ
ถือเราฉลาดสุดๆ ไม่เกี่ยงที่ราคา
เพิ่มเติม
แล้วตอนที่พิมพ์จะพิมพ์ใส่ตัวอักษร p ได้ยังไงหว่า เพราะว่าโทรศัพท์มันให้กดแต่ตัวเลขอ่ะ คลายข้อสงสัย
เลยว่ากดที่ปุ่ม * ครับ กดที่ปุ่ม * ไปเรื่อยๆจะมีอักษร p ขึ้นมา แล้วก็สามารถบันทึกเบอร์ต่อได้เลยแบบ
ไม่ต้องเว้นวรรคนะครับ
เชิญเพื่อนๆ ฟังทางนี้กับเทคนิคดีๆ ในการบันทึกเบอร์โทรทัพศ์ลงในมือถือ ที่ต้องมีเบอร์ต่อ อย่างเช่น
เบอร์ 0-43221987-6543 ต่อ 191 อะไรประมาณเนี่ย.. ซึ่งยุ่งยากกับมือถือ เวลาที่เราโทรออกแล้ว
แบบว่า.. ต้องมานั่งจำตัวเลขอีก หลังจากกดโทรแล้วว่า.. ต้อง "กดต่อ." เลขอะไรหว่า. วันนี้เรา
หาทางออกให้เพื่อนๆ ที่ต้องเจอกับการ "กดต่อ." ได้แล้ว เพื่อนๆ รู้รึมั้นว่า.. มือถือของเราๆ นั้นมี
ความฉลาดในการจำแทนเรา โดยเฉพาะเบอร์โทรที่มีตัวเลขมากมาย เพียงแค่เราบันทึกไว้ในเครื่อง
พร้อมชื่อเท่านี้ จากนั้นแค่เราพิมพ์ชื่อค้นหาก็โทรออกอัตโนมัติได้เลย
แต่. แต่ทว่า... เบอร์โทรที่จะบันทึกนั้น เกิดไม่ได้โทรแล้วติดเลยล่ะ มันต้องมีการ "กดต่อ." เพิ่มขึ้น
มาจะทำยังงัย? ก็ไม่เห็นจะอยากอะไร บอกแล้วว่า.. มือถือของเรามีความฉลาด เพียงแค่เรารู้วิธีใช้
ให้เป็นเท่านั้นเอง เช่นว่า..หากเพื่อนๆ ต้องการจะบันทึก เบอร์ 02-987-6543 ต่อ 191 ก็ให้เพื่อนๆ
บันทึกเป็น 029876543p191 เพียงเท่านี้แหละ เมื่อเพื่อนๆ ทำการโทรออกไปที่เบอร์ที่บันทึกนี้
ไว้ โทรศัพท์มือถือของเพื่อนๆ ก็จะทำการโทรไปที่หมายเลข 029876543 นี้ก่อน จากนั้นเมื่อโทรติด
แล้ว มันจะเว้นช่วงนิดนึง และจะกดหมายเลข 191 ให้เพื่อนๆ อัตโนมัติทันที เห็นมะบอกแล้วว่า.. มือ
ถือเราฉลาดสุดๆ ไม่เกี่ยงที่ราคา
เพิ่มเติม
แล้วตอนที่พิมพ์จะพิมพ์ใส่ตัวอักษร p ได้ยังไงหว่า เพราะว่าโทรศัพท์มันให้กดแต่ตัวเลขอ่ะ คลายข้อสงสัย
เลยว่ากดที่ปุ่ม * ครับ กดที่ปุ่ม * ไปเรื่อยๆจะมีอักษร p ขึ้นมา แล้วก็สามารถบันทึกเบอร์ต่อได้เลยแบบ
ไม่ต้องเว้นวรรคนะครับ
อำนาจแห่งจิต
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่อเมริกา หลายปีมาแล้ว
ชายคนหนึ่งเป็นคนทำความสะอาดรถแช่เย็น วันนั้นขณะที่เขากำลังทำความสะอาดห้องเย็นของรถคันหนึ่ง
อยู่ เกิดลมพัดปิดประตูห้องเย็น
เขาพยายามตะโกนเรียกให้คนช่วย แต่ไม่มีใครได้ยิน คนอื่นกลับบ้านไปแล้ว เพราะเป็นเย็นวันศุกร์
กว่าจะมีคนมาอีกทีก็เช้าวันจันทร์!!!
เขาคิดว่าเขาคงต้องตายแน่ๆ ในอุณหภูมิ -10 องศา คนปรกติคงรอดได้ไม่นาน
เขาเลยคิดจะทำความดีครั้งสุดท้ายโดยเขียนให้รู้ว่า คนที่ต้องตายเพราะความเย็นจัดนั้นจะมีอาการเช่น
ไร อย่างน้อยมันยัง
เป็นประโยชน์กับวงการแพทย์ เขาเขียนทุกอย่างที่เขารู้สึกอย่างละเอียด...
เช้าวันจันทร์มีคนมาพบศพ ชายผู้นี้ พร้อมกับกระดาษที่เขาเขียนเอาไว้
ทางการแพทย์ บอกว่า มันเป็นอาการของคนที่ตายจากความเย็นจัด จริงๆ ตรงทุกประการ
แต่สิ่งเดียวที่ผิดปรกติก็คือ...ห้องเย็นนั้น ไม่ได้เปิดระบบทำความเย็นเอาไว้ มันเป็นอุณหภูมิ
ปรกติ!!!!!
เขาตายเพราะเขาคิดไปเอง!!!!!
**********************
เรื่องต่อมา เป็นเรื่องที่โด่งดังมาก เกิดเมื่อ 100 ปีมาแล้ว ที่ประเทศอังกฤษ
คุกที่เมือง บริสตอล นักโทษคนหนึ่งโดนตัดสินประหาร ชีวิตด้วยการแขวนคอในวันรุ่งขึ้น
เย็นวันก่อนประหาร มีนักจิตวิทยา2คนที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้ทำงานทดลอง ได้ปลอมตัว มาบอก
กับนักโทษประหารคนนี้ว่า พรุ่งนี้แทนที่เขาจะโดนแขวนคอ ได้มีการเปลี่ยนกฎหมายใหม่จากการแขวนคอ
มาเป็นเชือดคอแทน!!!!
นักโทษผู้น่าสงสาร คงไม่ได้นอนทั้งคืนและคิดแต่ว่าพรุ่งนี้เช้าเขาจะต้องโดนเชือดคอ และเมื่อตอนเช้า
มาถึง เขาถูกมัดมือไพล่หลังเอาผ้าปิดตา และถูกพาตัวมา ณ ห้องแห่งหนึ่งซึ่งเขาไม่รู้เลยว่า มัน เป็น
แค่ห้องสังเกตการณ์ เฉยๆ เขานึกว่าเป็นห้องประหาร!!!
ได้มีการจัดฉากไว้เรียบร้อย ในห้องนั้นมี นักจิตวิทยา เจ้าหน้าที่ของรัฐบาล และ มีพระมาสวดครั้งสุด
ท้ายให้เขา
และนักจิตวิทยาคนแรก แสดงเป็นคนลงมือเชือดคอนักโทษคนนี้
มีดที่ใช้เชือดคอ ก็คือมีดแบบที่เขาใช้โกนหนวด แต่เขาเอาด้านทื้อของมีด ผาดผ่านไปที่ลำคอ
(เขาบอกว่ามีดนั้นไม่ได้สัมผัสลำคอนักโทษเลยแม้แต่น้อย ) แล้วนักจิตวิทยา อีกคน ทำเสียงน้ำไหล ให้
เหมือนเลือดกำลังไหล
นักโทษคนนี้ รู้สึกเย็นที่ลำคอเพราะโลหะของมีดโกน และได้ยินเสียงน้ำไหลเขาคิดว่า เลือดเขากำลัง
ไหลออกจากคอหอย แล้วเขาก็ล้มลงสิ้นใจตรงนั้นเอง !!!!! เขาตายเพราะเขาเชื่อว่าเขาตายแน่
เขาคิดไปเอง!!!!
******************
จากเรื่องที่เล่ามาทั้ง 2 เรื่อง เป็นเรื่องจริง และทำให้เราเห็นได้ เลยว่าความเชื่อ และใจคิดของ
คน
เรา นั้นมีอำนาจมากแค่ไหน และถ้ามันฆ่าเราได้
จินตนาการดูซิว่ามันจะช่วยให้เราได้มากแค่ไหน
????
ในทางพุทธศาสนาจึงบอกว่า "ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน""ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจของเรานี้เอง"
ถ้าเรากลัวตาย และคิดว่าเราจะตาย เราก็จะตาย เพราะความกลัวที่เกิดจากใจที่คิดไปนั่นเองที่ฆ่า
เรา!!!!
ปัญหาส่วนใหญ่ที่เราต้องเจอล้วนมาจาก ใจที่เป็นลบ ใจที่คิดแต่เรื่องไม่ดี
ดังนั้น เราต้องแก้ไขที่ใจของเรานี้ เวลาเราอยู่ในอารมณ์ที่ดีๆ ใจสบายๆ มีเรืองเกิดขึ้นเราจะรู้สึกว่า
เรื่องเล็กน้อย
ธรรมชาติของคนเรา เวลาเราเป็นสุข เราอยากจะแบ่งปันความสุข เช่น
เวลาเราสอบได้ดี ได้เลื่อนขั้น ถูกหวย เราแทบจะวิ่งแจ้นไปบอกเพื่อนฝูง เวลาความรักของเรากำลัง
ไปด้วยดี
เราจะเห็นโลกเป็นสีชมพูทุกอย่าง อะไรก็ได้ ดีไปหมด
แต่ ถ้าเราเป็นทุกข์ เราก็จะหน้าตาบูดบึ้ง ใส่คนที่อยู่รอบๆ เรา
โมโหเป็นฟืนเป็นไฟแม้เพียงเรื่องเล็กน้อย และบ่นๆ เจอหมาเตะหมา เจอแมวเตะแมว เพราะ ว่า
เรา
กำลัง เป็นทุกข์!!
เราอยากจะให้ทุกคนรู้ว่า ฉันเป็นทุกข์นะ ช่วยฉันด้วย.. (เพียงแต่เราไม่ได้พูด)
แต่กลับแสดง ออกด้วยการ" ร้าย" ใส่คนอื่น!!!
และนี้ก็คือสิ่งที่ท่านพยายามบอกเราว่า ให้เรารักษาใจของเราให้เป็นสุขอยู่เสมอ โดยวิธีทำสมาธิ
การทำสมาธิคือ การหยุดคิดทุกสิ่งในโลก อดีต อนาคต หยุดความกังวล และ
มีความสงบสุข และสันติสุข..
ใจที่จะทำการงานได้ดี คิดได้ดี คิดแต่สิ่งที่ดีๆ ก็คือ ใจที่สงบสุขจากการทำสมาธิ นี้เอง....
ระวังถูกบริษัทประกันหลอก อย่าพูดคำว่า "สนใจ"
ดิฉันได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง แจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัทบัตรเครดิตที่ดิฉันถืออยู่ ขอทบทวนความถูกต้อง
ของข้อมูล เช่น ชื่อ เลขที่บัตร และเลขที่บัตรประชาชน ว่าถูกต้องหรือไม่ โดยอ่านแล้วให้ดิฉันยืนยัน
จากนั้นเจ้าหน้าที่คนนั้นได้นำเสนอขายประกันชีวิต แล้วถามดิฉันว่าสนใจหรือไม่ ดิฉันตอบว่าสนใจแต่ขอ
ให้ส่งรายละเอียดมาให้ดูก่อน
เจ้าหน้าที่จึงบอกดิฉันว่า ขออนุญาตให้ดิฉันพูดใหม่ว่า "สนใจ" เพราะเขาต้องบันทึกเทปเสียงพูดไว้ยืนยัน
กับเจ้านาย ...ดิฉันก็โง่ ทำตาม
หลังจากนั้นมีเอกสารส่งมาถึงดิฉัน...แต่ไม่ใช่รายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์...มันคือ "กรมธรรม์"
กรมธรรม์นั้นระบุว่า เป็น "ประกันอุบัติเหตุ" ไม่ใช่ประกันชีวิต ซึ่ งเอาไปใช้ลดหย่อนภาษีไม่ได้ และ
สิทธิประโยชน์น้อยกว่าที่ควรจะเป็น และเป็นของบริษัทแห่งหนึ่ง ไม่ใช่ของบริษัทเจ้าของบัตรเครดิต
เพื่อนในที่ทำงานคนหนึ่งก็ประสบปัญหาเดียวกัน เราทั้งคู่จึงหารายละเอียดเกี่ยวกับบริษัท พบว่าเป็นบริษัท
ต่างชาติจากเกาะแห่งหนึ่งแถวอเมริกาใต้ และได้รับอนุมัติให้เข้ามาประกอบธุรกิจในไทยไม่กี่ปีมานี้
ดิฉันได้โทรกลับไปที่บริษัทเพื่อขอยกเลิกกรมธรรม์แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยง เจ้าที่คนใหม่อธิบายว่าดิฉันได้
รับปากตกลงทำประกันแล้วทางโทรศัพท์ มีเทปเป็นหลักฐาน ..ดิฉันจึงเสียงแข็งใส่ ล่าสุด สัญญาว่าจะ
ส่งเอกสารกลับมาให้เซ็นยกเลิก แต่ไม่ได้ส่ง
ดิฉันโทรไปปรึกษาที่หน่วยงานของรัฐ คือสายด่วนประกันภัย....เจ้าหน้าที่ยืนยันว่า...ตามกฏหมาย
เพียงแค่บอกทางโทรศัพท์ ว่า "สนใจ" หรือ "ตกลง" ก็ถือว่าสัญญาได้เกิดขึ้นแ ล ้ว และดิฉันต้องจ่าย
ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นให้กับบริษัทหากต้องการยกเลิกกรมธรรม์
เจ้าหน้าที่สายด่วนประกันภัย แนะนำดิฉันว่า หากได้รับโทรศัพท์เสนอขายประกันอีกให้ยืนยันว่าไม่สนใจ
หรือไม่ก็ขอให้เขาส่งตัวแทนประกันมาพบเพื่ออธิบายผลประโยชน์
"อย่าพูด แม้แต่คำว่า สนใจ เพราะมีผลเป็นสัญญาตามกฏหมาย"
ดิฉันขอเสนอเรื่องความโง่ของตัวเองมาเพื่อเป็นอุทธาหรณ์ค่ะ
ของข้อมูล เช่น ชื่อ เลขที่บัตร และเลขที่บัตรประชาชน ว่าถูกต้องหรือไม่ โดยอ่านแล้วให้ดิฉันยืนยัน
จากนั้นเจ้าหน้าที่คนนั้นได้นำเสนอขายประกันชีวิต แล้วถามดิฉันว่าสนใจหรือไม่ ดิฉันตอบว่าสนใจแต่ขอ
ให้ส่งรายละเอียดมาให้ดูก่อน
เจ้าหน้าที่จึงบอกดิฉันว่า ขออนุญาตให้ดิฉันพูดใหม่ว่า "สนใจ" เพราะเขาต้องบันทึกเทปเสียงพูดไว้ยืนยัน
กับเจ้านาย ...ดิฉันก็โง่ ทำตาม
หลังจากนั้นมีเอกสารส่งมาถึงดิฉัน...แต่ไม่ใช่รายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์...มันคือ "กรมธรรม์"
กรมธรรม์นั้นระบุว่า เป็น "ประกันอุบัติเหตุ" ไม่ใช่ประกันชีวิต ซึ่ งเอาไปใช้ลดหย่อนภาษีไม่ได้ และ
สิทธิประโยชน์น้อยกว่าที่ควรจะเป็น และเป็นของบริษัทแห่งหนึ่ง ไม่ใช่ของบริษัทเจ้าของบัตรเครดิต
เพื่อนในที่ทำงานคนหนึ่งก็ประสบปัญหาเดียวกัน เราทั้งคู่จึงหารายละเอียดเกี่ยวกับบริษัท พบว่าเป็นบริษัท
ต่างชาติจากเกาะแห่งหนึ่งแถวอเมริกาใต้ และได้รับอนุมัติให้เข้ามาประกอบธุรกิจในไทยไม่กี่ปีมานี้
ดิฉันได้โทรกลับไปที่บริษัทเพื่อขอยกเลิกกรมธรรม์แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยง เจ้าที่คนใหม่อธิบายว่าดิฉันได้
รับปากตกลงทำประกันแล้วทางโทรศัพท์ มีเทปเป็นหลักฐาน ..ดิฉันจึงเสียงแข็งใส่ ล่าสุด สัญญาว่าจะ
ส่งเอกสารกลับมาให้เซ็นยกเลิก แต่ไม่ได้ส่ง
ดิฉันโทรไปปรึกษาที่หน่วยงานของรัฐ คือสายด่วนประกันภัย....เจ้าหน้าที่ยืนยันว่า...ตามกฏหมาย
เพียงแค่บอกทางโทรศัพท์ ว่า "สนใจ" หรือ "ตกลง" ก็ถือว่าสัญญาได้เกิดขึ้นแ ล ้ว และดิฉันต้องจ่าย
ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นให้กับบริษัทหากต้องการยกเลิกกรมธรรม์
เจ้าหน้าที่สายด่วนประกันภัย แนะนำดิฉันว่า หากได้รับโทรศัพท์เสนอขายประกันอีกให้ยืนยันว่าไม่สนใจ
หรือไม่ก็ขอให้เขาส่งตัวแทนประกันมาพบเพื่ออธิบายผลประโยชน์
"อย่าพูด แม้แต่คำว่า สนใจ เพราะมีผลเป็นสัญญาตามกฏหมาย"
ดิฉันขอเสนอเรื่องความโง่ของตัวเองมาเพื่อเป็นอุทธาหรณ์ค่ะ
อย่าเปิดเครื่องปรับอากาศ (แอร์) ทันทีที่คุณขึ้นรถ
> อย่าเปิดเครื่องปรับอากาศ (แอร์) ทันทีที่คุณขึ้นรถ!
>
> โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณจอดรถตากแดดไว้ ให้เปิดหน้าต่างหลังจากขึ้นรถ และอย่าเปิดแอร์ทันที ตาม
> ผลการวิจัย แผงหน้าปัทม์ (คอนโซล) เบาะที่นั่ง และน้ำหอมปรับอากาศ จะสร้างสารเบนซีน ที่เป็นสาร
> ก่อมะเร็งขึ้น (อย่างที่คุณได้กลิ่่นเหมือนพลาสติคจาง ๆ ในรถ "โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถใหม่" : ผู้แปล)
>
>
> นอกจากเป็นสาเหตุให้เป็นมะเร็งแล้ว สารดังกล่าวยังเป็นพิษต่อกระดูก ทำให้เกิดโรคโลหิตจาง และลด
> จำนวนเม็ดเลือดขาว ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้เป็นโรคลูคีเมีย และอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์
> มารดาได้
>
> โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณจอดรถตากแดดไว้ ให้เปิดหน้าต่างหลังจากขึ้นรถ และอย่าเปิดแอร์ทันที ตาม
> ผลการวิจัย แผงหน้าปัทม์ (คอนโซล) เบาะที่นั่ง และน้ำหอมปรับอากาศ จะสร้างสารเบนซีน ที่เป็นสาร
> ก่อมะเร็งขึ้น (อย่างที่คุณได้กลิ่่นเหมือนพลาสติคจาง ๆ ในรถ "โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถใหม่" : ผู้แปล)
>
>
> นอกจากเป็นสาเหตุให้เป็นมะเร็งแล้ว สารดังกล่าวยังเป็นพิษต่อกระดูก ทำให้เกิดโรคโลหิตจาง และลด
> จำนวนเม็ดเลือดขาว ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้เป็นโรคลูคีเมีย และอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์
> มารดาได้
>
> ระดับของสารเบนซีนที่ยอมรับได้ในอาคาร / ในรถ คือ 50 มิลลิกรัม ต่อ ตารางฟุต แต่ระดับของสาร
> เบนซีนในรถที่จอดอยู่ในร่มมีค่าอยู่ที่ 400 - 800 มิลลิกรัม หากรถจอดอยู่กลางแจ้งที่มีอุณหภูมิสูงเกินกว่า
> 60 องศาฟาร์เรนไฮท์ (15.5 องศาเซลเซียส "ในเมืองไทยจอดในร่มอุณหภูมิก็สูงเกินแล้ว" : ผู้แปล)
>
>
> ระดับของสารเบนซีนจะสูงขึ้นถึง 2000 -4000 มิลลิกรัม คือสูงกว่าระดับที่ยอมรับได้ถึง 40 เท่า คนที่
> อยู่ในรถจะหายใจเอาสารพิษที่สูงเกินมาตรฐานดังกล่าวเข้าไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
>
> ดังนั้นจึงขอแนะนำว่าให้คุณเปิดประตู หน้าต่างรถ ไว้สักระยะเพื่อให้อากาศที่อยู่ในตัวรถออกมาก่อนจะ
> เข้าไปนั่ง สารพิษที่ร่างกายคุณไม่สามารถขับออกได้โดยง่าย ซึ่งส่งผลร้ายต่อ ตับ ไต ไส้ พุง จะได้ลด
> ปริมาณลง
>
> "เมื่อใครบางคนแบ่งปันบางสิ่งที่มีค่ากับคุณ และคุณได้รับประโยชน์จากมัน คุณก็ควรจะแบ่งปันสิ่งนั้นให้กับผู้
> อื่นด้วย"
สัมผัสแห่งเซน
เชื่อได้ว่าคนจำนวนไม่น้อยคงค้นพบความสนุกสนานในหนังการ์ตูนเรื่องล่าสุดของค่าย Dreamworks จากเหตุผลที่ชัดเจนหลากหลาย อาทิ ความน่ารักอ้วนกลมของเจ้าแพนด้า อาการตะกละกินจนพุงพลุ้ยของมัน ฉากแอ็กชั่นสุดอลังการเทียบเท่าหนังจีนกำลังภายในชั้นเลิศ และงานสร้างอันประณีต บรรจง ตลอดจนฉากหลังที่สวยงาม ยิ่งใหญ่ และเปี่ยมจินตนาการของประเทศจีน แม้ว่าลึกๆ แล้วพวกเขาจะตระหนักเช่นกันว่าพล็อตสูตรสำเร็จของหนังค่อนข้าง “ช้ำ” จากการถูกใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนปราศจากความแปลกใหม่ใดๆ
อย่างไรก็ตาม จุดน่าสนใจของ Kung Fu Panda หาได้อยู่ตรงเสน่ห์ทางรูปธรรมเหล่านั้น หากแต่เป็นกลิ่นอายคละคลุ้งของแนวคิดแบบตะวันออก หรือหากจะพูดให้เฉพาะเจาะจงลงไป คือ พุทธศาสนานิกายเซน ซึ่งสอดแทรกอยู่แทบจะทุกรายละเอียดของหนังต่างหาก
ที่สำคัญ สมมุติฐานดังกล่าวยังช่วยคลี่คลายปริศนาพิศวงเพียงหนึ่งเดียวในหนังให้กระจ่างได้อีกด้วย นั่นคือ เหตุใดผู้สร้างจึงวางพล็อตเรื่องให้หมีแพนด้ามีพ่อเป็นห่าน!?!
ฉากหนึ่งในช่วงท้ายเรื่องซึ่งดูจะเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูอย่างคาดไม่ถึง คือ เมื่อพ่อของโป ผู้สืบทอดอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวมาหลายชั่วอายุคน (จากรูปภาพบนผนังร้าน ทั้งพ่อและปู่ของเขาล้วนเป็นห่าน) พูดกับลูกชายว่าเขามีความจริงบางอย่างจะบอก คนดูนึกขำเพราะคิดว่าเขากำลังจะเผยความลับว่าตนไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของโป ซึ่งคงเป็นเรื่องที่สังเกตเห็นได้ไม่ยาก เนื่องจากทั้งสองเป็นสัตว์คนละสายพันธุ์กันอย่างสิ้นเชิง แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวกลับไม่ถูกระบุชัด (สุดท้ายแล้วสิ่งที่พ่อของโปอยากจะบอก คือ สูตรลับในการทำก๋วยเตี๋ยว) ราวกับ Kung Fu Panda ดำเนินเหตุการณ์ในโลกคู่ขนานที่สัตว์ทุกชนิดล้วนเท่าเทียมกันและสืบเชื้อสายต่างสายพันธุ์จนเป็นเรื่องปกติ (ตัวละครรอบข้างก็ดูจะไม่ตระหนักถึงความแตกต่างทางกายภาพระหว่างโปกับพ่อของเขาแม้แต่น้อย)
ในเมื่อห่านยังเป็นพ่อของแพนด้าได้ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากเราจะเห็นตั้กแตนตำข้าวจับหมีแพนด้า ซึ่งมีรูปร่างใหญ่กว่าเขานับร้อยเท่า ทุ่มข้ามหัว หรือเห็นแพนด้าแดง (ฉีฟู่) เป็นอาจารย์สอนกังฟู แล้วเลี้ยงดูและรักใคร่สัตว์ดุร้ายอย่างเสือดาวเหมือนลูกแท้ๆ หรือเห็น “เพศเมีย” ดำรงตำแหน่งสำคัญในกลุ่มห้าผู้พิทักษ์ (อสรพิษ กับ นางพยัคฆ์) ซึ่งมีโอกาสจะได้รับเลือกให้เป็นนักรบมังกร
แนวคิดแห่งความเสมอภาคข้างต้นช่วยสะท้อนอัตลักษณ์อันสำคัญของนิกายเซน ว่าด้วยมนุษย์ทั้งหลายล้วนมีพุทธภาวะอยู่ในตัว มีโอกาสตรัสรู้ได้ทุกคนและแจ่มแจ้งในตัวเอง โดยการเข้าถึงพุทธภาวะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยรูปแบบใดๆ ทางภายนอกเลย รวมทั้งการตรัสรู้ยังไม่จำกัดด้วยว่าจะต้องเป็นเพศใด เป็นผู้คงแก่เรียนหรือไม่ อายุหรือวัยเท่าใด เพราะไม่ว่าใครต่างก็มีธรรมชาติเดิมแท้อันบริสุทธิ์อยู่แล้ว และเมื่อสิ่งที่มาครอบคลุมถูกรื้อถอนออก ความสว่างไสวก็จะปรากฏออกมาทุกคน ไม่เว้นใครเลย
นอกจากนี้ Kung Fu Panda ยังได้สอดแทรกแง่มุมเกี่ยวกับเซนเอาไว้อีกมาก เช่น ในฉากหนึ่งเสียงดังของโปได้ไปรบกวนสมาธิของนกกระเรียน ขณะเขากำลังเขียนภาษาจีนเป็นคำว่า “ฌาน” ลงบนกระดาษ ซึ่งถอดรูปมาจากภาษาบาลีอีกทอดหนึ่งหมายถึงการเข้าฌาน (มันคือคำเดียวกับเซน ซึ่งเป็นคำภาษาญี่ปุ่นและถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางหลังแนวคิดดังกล่าวถือกำเนิดขึ้นในอินเดีย แล้วเผยแผ่มายังประเทศญี่ปุ่นผ่านทางจีน โดยรับอิทธิพลเพิ่มเติมจากลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋า)
เมื่อฉีฟู่เร่งรีบมาบอก “ข่าวร้าย” กับอาจารย์อูเกวย์ว่า ไถ่หลางแหกคุกสำเร็จและกำลังเดินทางมาหาพวกเขา คำตอบที่เขาได้รับจากอูเกวย์ ซึ่งเปรียบดังผู้บรรลุพุทธภาวะแล้ว (ก่อนหนังจะพลิกตลบให้กลายเป็นมุกตลก) ว่า “ไม่มีข่าวดี หรือข่าวร้ายหรอก มีแต่ข่าวเท่านั้น” บ่งชี้ถึงแก่นประการหนึ่งของนิกายเซนเกี่ยวกับความคิดรวบยอด หรือการจำแนกสิ่งต่างๆ ออกเป็นสองขั้วที่ต่างกัน เช่น ดี-ชั่ว ผิด-ถูก พอใจ-ไม่พอใจ โดยเซนถือว่าความคิดรวบยอดเปรียบดังโซ่ตรวนที่ผูกมัดมนุษย์ไว้ในกรงแห่งความทุกข์และอวิชชา และหากทำลายความคิดปรุงแต่งเหล่านี้เสียได้ เราก็จะเป็นอิสระ จะเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่เป็นจริงของมัน
แต่นาทีแห่งเซนดูจะพุ่งทะยานถึงขีดสุดในฉากที่โปเปิด “คัมภีร์มังกร” แล้วพบว่ามันว่างเปล่า ไร้ตัวอักษร ไร้คำบรรยายใดๆ แรกทีเดียวเขาไม่เข้าใจ เช่นเดียวกับฉีฟู่ ไถ่หลาง และสมาชิกอื่นๆ ในกลุ่มห้าผู้พิทักษ์ จนกระทั่งเขาได้ทราบความลับจากพ่อว่า สูตรน้ำซุปรสเลิศก็ไม่มีอยู่จริงเช่นกัน
พื้นฐานสำคัญของเซน คือ ความจริงสูงสุดเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแสดงออกได้ด้วยคำพูดหรือตัวหนังสือ ดังคำกล่าวที่ว่า “การส่งมอบพิเศษนอกคัมภีร์ ไม่ต้องอาศัยคำพูด หรือตัวหนังสือ ชี้ตรงไปยังจิตวิญญาณของมนุษย์ มองย้อนเข้าไปในธรรมชาติแท้ของตนเองและบรรลุพุทธภูมิ” ตรงกับหลักในปรัชญาเต๋าที่ว่า “เต๋าเป็นสิ่งที่ไม่อาจเรียกได้ด้วยคำพูด เต๋าที่เรียกได้ด้วยคำพูด ไม่ใช่เต๋าที่แท้จริง” ดังนั้น เซนจึงมุ่งหวังในเรื่องประสบการณ์ ความตื่นของชีวิตมากกว่าคำพูด ประสบการณ์นี้เรียกว่า “ความว่าง” หรือ “ธรรมชาติแห่งพุทธ” ซึ่งเป็นธรรมชาติดั้งเดิม เปรียบดังการที่เราทราบว่ากำลังดื่มน้ำร้อน หรือน้ำเย็นโดยไม่ต้องบอก
เมื่อทุกอย่างเป็นความว่างเปล่า เซนจึงไม่เชื่อในเรื่องบุญหรือบาป ไม่เชื่อว่ามีจิต ฉะนั้น เมื่อพระภิกษุรูปหนึ่งเขียนคาถาว่า “จิตเป็นเหมือนกระจกเงา ต้องคอยปัดกวาดฝุ่นละอองให้ผ่องใสอยู่เสมอ” อาจารย์ฮุยเน้งของเซนจึงเขียนคาถาหักล้างไปว่า “เมื่อกระจกนั้นไม่มี ฝุ่นละอองจะมาจับได้อย่างไร” ผู้ที่คอยปัดกวาดจิตให้สะอาดนั้น เซนดูหมิ่นว่าเป็นผู้ที่เสียแรงเสียเวลาเปล่า เพราะมัวหลงไปปัดกวาดในที่ที่ไม่มีฝุ่นละอองจับ เพราะการยึดกาย บำรุงบำเรอกาย ไม่เกิดประโยชน์ฉันใด การยึดจิตและพยายามปัดกวาดขัดเกลาจิตก็ไม่เกิดประโยชน์ฉันนั้น
คนที่นั่งปัดกวาดให้จิตว่าง หรือขัดเกลาจิตให้ผ่องใสนั้นก็ไม่ผิดอะไรกับผู้หญิงนั่งผัดหน้าทาปากเพื่อให้หน้าสวย ถ้าอย่างหลังไม่เกิดประโยชน์ อย่างแรกก็ไม่เกิดประโยชน์เช่นกัน เพราะเมื่อไม่มีอะไรตั้งแต่เริ่มแรกเสียแล้ว การขุดคุ้ย ขัดล้างต่างๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์ เหมือนขุดลม ขัดลม ในที่สุดก็จะไม่พบอะไร และไม่มีอะไรที่สะอาดบริสุทธิ์ขึ้น ด้วยเหตุนี้ โมกธรรมและบริสุทธิคุณจึงไม่ใช่เรื่องของใจสะอาดผ่องแผ้ว หรือใจบริสุทธิ์ แต่ได้แก่สุญญตา คือ ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย
อาจกล่าวได้ว่าการฝึกวิทยายุทธ์ใน Kung Fu Panda ก็เสมือนสัญลักษณ์ของการปฏิบัติธรรม หรือดำเนินตามมรรควิถี เพราะถึงแม้เซนจะเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีของดีอยู่ในตัวแล้วก็ตาม (มีโอกาสตรัสรู้เท่าเทียมกัน) แต่เมื่อมันยังถูกบดบังด้วยอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เราก็จะไม่สามารถเห็นแจ้งอยู่นั่นเอง ฉะนั้น เราจึงต้องกำจัดเงื่อนไข แสวงหาหลักการ และลงมือกระทำการต่างๆ เพื่อเอื้ออำนวยให้ของดีที่เรามีอยู่แสดงตัวออกมา แต่การเดินทางไปสู่พุทธภาวะ (หรือ “คัมภีร์มังกร” ในหนังเรื่องนี้) นั้นไม่มีใครสามารถทำแทนเราได้ และกระทั่งอาจารย์ก็ไม่สามารถถ่ายทอดให้ศิษย์เข้าใจได้ ดุจเดียวกับเวลาหิวข้าว หรือกระหายน้ำ เราก็ต้องกินข้าวและดื่มน้ำด้วยตัวเองเพื่อให้อิ่มท้อง
ด้วยเหตุนี้ สิ่งเดียวที่อาจารย์อย่างอูเกวย์สามารถทำได้ คือ แนะนำให้ลูกศิษย์อย่างฉีฟู่ลดการยึดมั่น แล้วรู้จักปล่อยวาง เพื่อสักวันฉีฟู่จะได้พบกับ “ความสงบในจิตใจ” หลังจากใช้เวลาทั้งชีวิตพยายามบังคับทุกอย่างให้เป็นไปตามประสงค์ เขาฝืนฝึกฝนไถ่หลางให้เป็นนักสู้ชั้นยอด โดยมืดบอดต่อความชั่วร้าย (อวิชชา) ที่กำลังครอบงำลูกศิษย์ของเขามากขึ้นทุกขณะ ทั้งนี้เพราะเขาเชื่อมั่นว่าวิชากังฟูนั้น “เพียงพอ” แล้วสำหรับการครอบครอง “คัมภีร์มังกร” การกระทำของเขาจึงไม่ต่างจากคำเปรียบเปรยของอูเกวย์ นั่นคือ ฉีฟู่ได้นำเอาเมล็ดท้อมาปลูกฝัง หมั่นพรวนดิน ด้วยหวังว่าสักวันมันจะเติบใหญ่ แล้วให้ผลเป็นลูกส้ม หรือแอปเปิ้ล ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีวันเป็นไปได้
ขณะเดียวกัน ฉีฟู่ยังยึดมั่นว่าการโหมฝึกกังฟูอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ว่องไว ทรงพละกำลัง จะเป็นหนทางเดียวในการเข้าถึง “คัมภีร์มังกร” และต่อกรกับไถ่หลาง ส่งผลให้เขาด่วนปฏิเสธโปในทันที เพราะเห็นว่าแพนด้าท้องกลมไม่ “เข้าข่าย” จะเป็นนักรบมังกรได้ ถึงแม้นักเรียนคนอื่นของเขา เช่น ตั๊กแตนและอสรพิษ ก็ห่างไกลจากภาพลักษณ์ของนักบู๊ไม่แพ้กัน หากพิจารณาจากเพียงรูปกายภายนอก แต่สุดท้าย ศรัทธาต่ออาจารย์อูเกวย์ทำให้ฉีฟู่เรียนรู้ที่จะเปิดใจ ปล่อยวาง แล้วฝึกฝนวิชากังฟูให้กับโป
เมื่อนักสู้ชั้นเลิศ ต้องตรงตามตำราอย่างไถ่หลางกลับพ่ายแพ้ต่อแพนด้าพุงพลุ้ยอย่างโป ฉีฟู่จึงพลันตระหนักว่า กฎเกณฑ์ความเชื่อที่เขายึดมั่นมาตลอดนั้นหาใช่สัจธรรม แต่กำลังเหนี่ยวรั้งเขาให้ผูกติดอยู่กับบ่วงโซ่ของความคิดปรุงแต่งต่างหาก... เมื่อตระหนักได้เช่นนั้น อิสรภาพ หรือความสงบในจิตใจจึงบังเกิด
การเดินทางของโปเริ่มต้นเมื่อเขาตัดสินใจหันมาฝึกวิทยายุทธ์ (การปฏิบัติธรรม) กับฉีฟู่ แทนที่จะเจริญรอยตามอาชีพคนขายก๋วยเตี๋ยวแบบเดียวกับพ่อ (การใช้ชีวิตสะเปะสะปะจนทำให้ของดีในตัวถูกบดบังห่อหุ้มด้วยอวิชชา) แต่การเข้าถึง “คัมภีร์มังกร” (พุทธภาวะ/การตรัสรู้) นั้นเป็นสิ่งที่เขาต้องกระทำด้วยตัวเอง ไม่มีใครสามารถทำแทนได้ และเช่นเดียวกับหลักคำสอนของเซน ซึ่งบอกว่าพุทธภาวะหาใช่สิ่งใหม่ แต่เป็นการรู้แจ้งถึงบางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่ในตัวเองตลอดเวลาเท่านั้น และที่เราไม่รู้สึกถึงสิ่งนี้ก็เพราะมีอวิชชาครอบคลุมอยู่ เช่นเดียวกัน โปสามารถเข้าถึงขุมพลังของคัมภีร์มังกรก็ต่อเมื่อเขายอมรับสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวเอง
แรกทีเดียว โปต้องการให้ฉีฟู่ฝึกฝนให้เขาเป็น “คนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง” หรือกล่าวอีกนัย คือ นักรบแข็งแกร่ง ทรงพละกำลังดุจเดียวกับเหล่านักสู้กังฟูทั้งหลาย ไม่ใช่แพนด้าตัวกลมจอมตะกละและอุ้ยอ้าย แต่เมื่อเหลือบดูคัมภีร์ที่ว่างเปล่า ปราศจากคำจารึกใดๆ และภาพสะท้อนของตัวเองบนแผ่นกระดาษนั้นอีกครั้ง เขาก็พลันตระหนักว่า “ของดี” นั้นซุกซ่อนอยู่ในตัวเขาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหา หรือบากบั่นเพื่อเป็นคนอื่น
หนังตอกย้ำประเด็นดังกล่าวด้วยการให้โปเอาชนะไถ่หลาง ไม่ใช่ด้วยวิชากังฟู แต่ด้วย “ตัวตน” ของเขาเอง เมื่อไถ่หลางพยายามใช้วิชา “สกัดจุด” มันกลับเพียงทำให้โปจั๊กจี้ เมื่อไถ่หลางโถมกำลังเข้าใส่ โปกลับใช้ชั้นไขมันบนหน้าท้องสะท้อนความแรงกลับสู่ฝ่ายตรงข้าม และเมื่อเสือดาวเย้ยหยันว่า ฉีฟู่ไม่มีทางสอนท่ากลเม็ด “นิ้วก้อยพิฆาต” ให้โปหรอก แพนด้าจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไปว่า “ฉันคิดได้เอง”... มันเป็นน้ำเสียงของอิสรภาพ ของคนที่ได้รู้อย่างครบถ้วนแล้ว
อ้างอิง
• บทความ พุทธศาสนานิกายเซน โดย คะนอง ปาลิภัทรางกูร (http://tulip.bu.ac.th/~kanong.p/zen)
• หนังสือ นิกายเซน โดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
ที่มา http://riverdale-dreams.blogspot.com/2008/07/kung-fu-panda.html
Friday, May 22, 2009
นังเมียโง่
ฮา..ฮา..
ภาคหนึ่ง
ตอนจีบกันทีแรกก็จำได้ว่ามันฉลาดมากนี่นา เรียนก็สูง หน้าที่การงานก็ดี ทำไมอยู่กันไป อยู่กันมา กลับเป็นว่าโง่ลงได้ถึงขนาดนี้ นังเมียเรานี่ยังโชคดีที่มีผัวฉลาดๆ แบบเราอยู่ข้างๆ นะเนี่ย ไม่ใช่คุย
ตอนเด็กๆ สมัยประถม ผมจะได้รับคำชมจากคุณครูประจำชั้นอยู่เสมอ ผมจะได้รับรางวัลเป็นประจำในวิชา คัดไทย เขียนไทย ผมยังมีความภาคภูมิใจมาจนถึงทุกวันนี้ แม้เวลามันจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม ผมก็ยังคงเป็นคนเก่งอยู่ อันนี้ผมรู้จากนังเมียผม เพราะผมสังเกตเห็นนังเมียมันจะตบมือดังๆ แล้วก็เอ่ยปากชมไม่ขาดปาก ว่าเก่งยังโน้นเก่งยังนี้ เวลาผมซักผ้า ถูบ้าน หุงข้าว ล้างชาม ได้อย่างยอดเยี่ยมยน และเสร็จทันในเวลาที่นังเมียผมมันกำหนดไว้ แถมบางครั้งยังมีเวลาเหลือพอที่จะไปล้างส้วมได้เสร็จทันเวลาอีกด้วย ทีแรกผมก็คิดได้เองอยู่แล้วว่าผมเก่งและฉลาดมาก ความจริงนังเมียมันไม่บอก ผมก็รู้ อยู่แล้ว ผิดกับนังเมียผมที่นับวันจะโง่ลง ขนาดแอร์ ทีวี ที่สมัยนี้เปิดปิดง่ายๆ มันยังทำไม่เป็น รีโมทตั้งอยู่ข้างหน้านังเมียมันยังใช้ไม่เป็น มือซ้ายถือมันฝรั่ง มือขวาแก้วน้ำหวาน ปากก็บอกว่า นี่เปิดทีวีให้ดูหน่อยซิ แอร์ด้วยนะซัก 23 องศา แนะ...รีโมทก็อยู่ข้างหน้าใช้ไม่เป็น มันโง่จริงๆ ผมเคยสอนให้ใช้หลายครั้ง ก็ยังทำไม่เป็นงศา จนผมรู้ว่ามันสมองแต่ละคนไม่เท่ากัน จะให้มาเป็นเลิศแบบผมทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ แต่นังเมียผมมันก็ยังพอมีความฉลาดอยู่บ้างนะ หยั่งเช่นว่าวันเงินเดือนผมออก นังเมียมันรู้หมดแนะแถมยังจำแม่น บางเดือนเลื่อนออกเงินเดือนไปวันไหนวันไหน มันรู้หมดแนะ ผมยังแปลกใจโง่ๆ แบบนี้รู้ได้ไง แต่ยังไงนังเมียก็ไม่ฉลาดกว่าผมหรอก มานั่งคอยจำ คอยเตือนเงินเดือน ทุกเดือนเสียเวลา ผมเลยเอาเลขที่บัญชีของเมีย ให้บริษัทโอนเงินเข้าไปเลย นังเมียยังชมผมไม่ขาดปากมาถึงทุกวันนี้ ฉลาดมาก ฉลาดมาก โธ่...เอ็งไม่ต้องบอกข้าก็รู้"นังเมียหัวขี้เลื่อย"
ภาคสอง
แก้แค้น วันก่อนผมก็มีวีรกรรมได้แกล้งนังเมียโง่ของผม สะจายจิงๆ เรื่องมันมีอยู่ว่า อาทิตย์ที่แล้วพาเมียโง่ไปซื้อกับข้าวมื้อค่ำ ได้ปลาดุกย่าง สะเดาน้ำปลาหวาน(ของโปรดผมคือหนังปลาดุก) เผลอแป๊บเดียว(ผมอาบน้ำอยู่) นังเมียโง่ของผมแอบลอกหนังปลาดุกกินเสียเกลี้ยง ดูสิดูมันทำ ด้วยความฉลาดของผมเก็บความแค้นอยู่ในใจ วันต่อมาถึงวันล้างแค้นนังเมียโง่ของผมไปจ่ายตลาด มันกำลังท้องอยากกินมันเทศต้ม ซื้อมาา2กิโล ถึงบ้านพอมันเผลอ ผมลงมือแก้แค้นทันทีโดยไม่ให้นังเมียโง่ของผมตั้งตัว ผมจัดการลอกเปลือกมันต้มกินจนเกลี้ยง เหลือแต่เนื้อให้มัน เพื่อนๆครับ มันมาเจอถึงกลับตลึง ทำท่าน้ำตาคลอ คงเจ็บใจผมจนพูดไม่ออกเลย ฮ่าๆๆ ให้มันรู้ซะบ้าง
"นังเมียโง่"???
ภาคหนึ่ง
ตอนจีบกันทีแรกก็จำได้ว่ามันฉลาดมากนี่นา เรียนก็สูง หน้าที่การงานก็ดี ทำไมอยู่กันไป อยู่กันมา กลับเป็นว่าโง่ลงได้ถึงขนาดนี้ นังเมียเรานี่ยังโชคดีที่มีผัวฉลาดๆ แบบเราอยู่ข้างๆ นะเนี่ย ไม่ใช่คุย
ตอนเด็กๆ สมัยประถม ผมจะได้รับคำชมจากคุณครูประจำชั้นอยู่เสมอ ผมจะได้รับรางวัลเป็นประจำในวิชา คัดไทย เขียนไทย ผมยังมีความภาคภูมิใจมาจนถึงทุกวันนี้ แม้เวลามันจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม ผมก็ยังคงเป็นคนเก่งอยู่ อันนี้ผมรู้จากนังเมียผม เพราะผมสังเกตเห็นนังเมียมันจะตบมือดังๆ แล้วก็เอ่ยปากชมไม่ขาดปาก ว่าเก่งยังโน้นเก่งยังนี้ เวลาผมซักผ้า ถูบ้าน หุงข้าว ล้างชาม ได้อย่างยอดเยี่ยมยน และเสร็จทันในเวลาที่นังเมียผมมันกำหนดไว้ แถมบางครั้งยังมีเวลาเหลือพอที่จะไปล้างส้วมได้เสร็จทันเวลาอีกด้วย ทีแรกผมก็คิดได้เองอยู่แล้วว่าผมเก่งและฉลาดมาก ความจริงนังเมียมันไม่บอก ผมก็รู้ อยู่แล้ว ผิดกับนังเมียผมที่นับวันจะโง่ลง ขนาดแอร์ ทีวี ที่สมัยนี้เปิดปิดง่ายๆ มันยังทำไม่เป็น รีโมทตั้งอยู่ข้างหน้านังเมียมันยังใช้ไม่เป็น มือซ้ายถือมันฝรั่ง มือขวาแก้วน้ำหวาน ปากก็บอกว่า นี่เปิดทีวีให้ดูหน่อยซิ แอร์ด้วยนะซัก 23 องศา แนะ...รีโมทก็อยู่ข้างหน้าใช้ไม่เป็น มันโง่จริงๆ ผมเคยสอนให้ใช้หลายครั้ง ก็ยังทำไม่เป็นงศา จนผมรู้ว่ามันสมองแต่ละคนไม่เท่ากัน จะให้มาเป็นเลิศแบบผมทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ แต่นังเมียผมมันก็ยังพอมีความฉลาดอยู่บ้างนะ หยั่งเช่นว่าวันเงินเดือนผมออก นังเมียมันรู้หมดแนะแถมยังจำแม่น บางเดือนเลื่อนออกเงินเดือนไปวันไหนวันไหน มันรู้หมดแนะ ผมยังแปลกใจโง่ๆ แบบนี้รู้ได้ไง แต่ยังไงนังเมียก็ไม่ฉลาดกว่าผมหรอก มานั่งคอยจำ คอยเตือนเงินเดือน ทุกเดือนเสียเวลา ผมเลยเอาเลขที่บัญชีของเมีย ให้บริษัทโอนเงินเข้าไปเลย นังเมียยังชมผมไม่ขาดปากมาถึงทุกวันนี้ ฉลาดมาก ฉลาดมาก โธ่...เอ็งไม่ต้องบอกข้าก็รู้"นังเมียหัวขี้เลื่อย"
ภาคสอง
แก้แค้น วันก่อนผมก็มีวีรกรรมได้แกล้งนังเมียโง่ของผม สะจายจิงๆ เรื่องมันมีอยู่ว่า อาทิตย์ที่แล้วพาเมียโง่ไปซื้อกับข้าวมื้อค่ำ ได้ปลาดุกย่าง สะเดาน้ำปลาหวาน(ของโปรดผมคือหนังปลาดุก) เผลอแป๊บเดียว(ผมอาบน้ำอยู่) นังเมียโง่ของผมแอบลอกหนังปลาดุกกินเสียเกลี้ยง ดูสิดูมันทำ ด้วยความฉลาดของผมเก็บความแค้นอยู่ในใจ วันต่อมาถึงวันล้างแค้นนังเมียโง่ของผมไปจ่ายตลาด มันกำลังท้องอยากกินมันเทศต้ม ซื้อมาา2กิโล ถึงบ้านพอมันเผลอ ผมลงมือแก้แค้นทันทีโดยไม่ให้นังเมียโง่ของผมตั้งตัว ผมจัดการลอกเปลือกมันต้มกินจนเกลี้ยง เหลือแต่เนื้อให้มัน เพื่อนๆครับ มันมาเจอถึงกลับตลึง ทำท่าน้ำตาคลอ คงเจ็บใจผมจนพูดไม่ออกเลย ฮ่าๆๆ ให้มันรู้ซะบ้าง
"นังเมียโง่"???
Subscribe to:
Posts (Atom)