Friday, November 28, 2008

ครอบครัวของฉัน

นาย กอ มีเชื้อสายจีน เป็นคนที่มีสมองดี ได้เรียนในโรงเรียนฝรั่งที่มีชื่อแห่งหนึ่ง ตอนเรียนก็ทำตัวเกเรซะเป็นส่วนใหญ่ จนคนที่บ้านคิดว่าคงจะเรียนไม่จบอย่างแน่นอน ต่อมาเมื่อ กอ เรียนอยู่ มศ.4 ก็ได้รู้จักกับนางสาว ขอ (ในตอนนั้นกอมีอายุ 16 ปี ส่วน ขอมีอายุ 19 ปี) ทั้งสองคนได้รู้จักกันโดยการผ่านการแนะนำจากเพื่อนฝูง ซึ่ง ขอ เองนั้นเป็นคนต่างจังหวัด เมื่อเรียนจบ มศ.3 ก็ได้เข้ากรุงเทพมาทำงานเป็นสาวโรงงาน เมื่อได้รู้จักกัน ก็รักกัน แต่ด้วยความที่เป็นวัยรุ่น กอ ได้ทำ ขอ ท้องตอน กอ นั้นเรียนอยู่แค่มศ.5 ซึ่ง ตอนนั้นก็เตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยพอดี คนที่บ้านของกอต่างก็บอกว่ามีเมียซะตั้งแต่ยังเรียนไม่จบอย่างนี้แล้วจะสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้เหรอ แล้วคนในบ้านกอก็ไม่ค่อยชอบขอสักเท่าไหร่

เมื่อขอได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของกอ ก็โดยกลั่นแกล้งสารพัน ส่วนขอก็ได้แต่อดทน อดทน และอดทน เพื่อลูก เพื่อสามี ตลอดเวลาที่ผ่านมานายกอ มุอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำ จนกระทั่งสอบติดสัตวแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแถวบ้าน สามารถขี่จักรยานไปเรียนได้ภายในเวลา 10 นาที เช่นเดิมที่บ้านกอก็บอกว่า อืมมันเฮงที่ สอบติด แต่จะเรียนจบเหรอ เพราะมันมีเมีย

ตลอดเวลาที่เรียน อยู่ที่นี่ ทุกเที่ยงนายกอจะต้องขี่จักรยานกลับบ้านเพื่อมาป้อนนม ลูกสาวคนโต คาดว่าตอนนั้นลูกสาวคงอายุไม่เกิน 1 ปี เป็นเด็กที่งอแงมาก เปลหยุดเมื่อไรจะร้องไห้ตลอดเวลา แล้วตอนบ่าย เมื่อนายกอมีเรียน จึงจะขี่จักรยานกลับไปเรียน ทุกค่ำเวลา 1 ทุ่ม นายกอ จะต้องอยู่ที่บ้านเพื่อเอาลูกสาวคนนั้นนอนหลับบนตักตัวเอง เป็นภาพที่น่าประทับใจนะ มันเป็นความอบอุ่นที่ถ่ายทอดมายังลูกสาว

สมัยตอนรับน้องนายกอต้องนอนค้างที่คณะเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ แต่คืนนั้นนายกอจะนอนค้างได้ลงอย่างไร ในเมื่อมีเด็กน้อยตัวเล็กนอนคอยนายกออยู่ที่บ้าน ดังนั้นเมื่อเวลา 4 ทุ่ม นายกอก็ขี่จักรยานกลับบ้านเช่นเดิม รุ่นพี่ที่เฝ้าอยู่หน้าคณะก็ถามว่า จะไปไหน รับน้องอยู่นะ นายกอก็ตอบว่า จะกลับบ้าน รุ่นพี่ก็ถาม ว่า จะกลับไปทำไม นายกอก็ตอบว่า จะกลับไปเลี้ยงลูก... เมื่อรุ่นพี่ได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็ยอมให้กลับบ้านไป

สมัยนั้น สัตวแพทย์เมื่อเรียนครบ 4 ปี จะได้รับปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต ซึ่งนายกอก็พาเด็กน้อยคนนั้นมาถ่ายรูปด้วย บังเอิญที่นางขอนั้นตั้งท้องลูกอีกคนหนึ่ง จึงไม่สามารถมาถ่ายรูปในงานได้ เพื่อนนายกอทุกคนดูจะเอ็นดูเด็กน้อยคนนั้น ซึ่งในตอนนั้นยังไม่มีเพื่อนคนไหนของนายกอที่ทำเช่นนี้เลย

เป็นเช่นนี้เรื่อยมา จนกระทั่งนายกอสำเร็จออกมาเป็นสัตวแพทยศาสตรบัณฑิต ภาพเมื่อตอนรับปริญญาคือ มือข้างหนึ่งจูงลูกสาวคนโต และมืออีกข้างหนึ่งนั้นจูง ลูกสาวคนเล็ก น่ารักดีนะ เมื่อกอจบออกมาสิ่งที่ตั้งใจไว้คือ อยากออกไปทำงานต่างจังหวัด แต่จะไปได้อย่างไรในเมื่ออายุของแม่นายกอนั้นก็เยอะแล้ว แถมยังมีเมีย และมีลูกที่ต้องดูแล คนโตอายุ 6 ขวบ คน เล็กอายุ 3 ขวบ แล้วพ่อนายกอก็ยังมีกิจการซึ่งก็อยากให้ลูกมารับช่วงสืบทอดกิจการต่อ จึงได้แค่เปิดคลินิกรักษาสัตว์ที่บ้าน ตอนกลางวันก็ไปทำงานให้กับพ่อ ตกตอนเย็น และ เสาร์ อาทิตย์ ก็มาเปิดคลินิก

เปิดคลินิกได้สักพักนายกอมีความตั้งใจ ที่จะเรียนแพทยศาสตร์ต่อ จึงติดต่อที่เรียนในอเมริกาไว้ และเดินทางไปเรียนโดยกลับเมืองไทยปีละ 2 ครั้ง ไม่ต้องถาม หรอกนะว่าที่บ้านรู้สึกเป็นอย่างไร คงโชคดีมั่งที่ลูกยังเล็กอยู่ ก็ไม่ค่อยได้มีความรู้สึกอะไรมาก มีแค่จดหมายที่ส่งมาเกือบทุก 3 อาทิตย์ว่า การเป็นอยู่ของนายกอเป็นอย่างไร ให้พอหายคิดถึงได้บ้าง ทุกครั้งคำลงท้ายของนายกอที่ฝากมายังลูก ๆ นั้นคือ ขอให้ลูกรักของพ่อ กินได้ ยิ้มได้ หัวเราะได้ ตั้งใจเรียน เป็นเด็กดี และเชื่อฟังแม่นะ แต่อะไร ๆ มันคงไม่โชคดีไปซะหมดหรอก

ผ่านไป 4 ปี นายกอต้องทำข้อสอบอะไรสักอย่างหนึ่งให้ผ่าน เพื่อที่จะสามารถเข้าไปเป็นหมอฝึกหัดในโรงพยาบาล โดยต้องสอบผ่าน ที่ 75 คะแนน แต่…นายกอทำได้แค่เพียง 69 คะแนนเท่านั้นเอง จึงได้แต่คิดว่า "ผมคงยังพยายามไม่พอ" จึงได้อ่านหนังสืออย่างหนักและกลับไปสอบใหม่ แต่คะแนนก็ยังคงอยู่ที่ 69 คะแนนเช่นเดิม เป็นไปได้อย่างไรกันนะ ??? เพราะเรา เป็นคนเอเชียหรืออย่างไรเขาจึงกีดกันไม่ได้เข้าไปเป็นหมอฝึกหัดในโรง พยาบาลของอเมริกา เฮ้ยยย…กลับบ้านดีกว่า คิดถึงลูก คิดถึงเมีย คิดถึงพ่อแม่ที่บ้าน เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย มีจดหมายจากที่โรงเรียนแจ้งกำหนดการสอบครั้งใหม่ให้แก่นายกอทราบ นาย กอจึงอ่านหนังสือและกลับไปสอบอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังคงเป็น 69 คะแนนอยู่ดี จึงละทุกอย่าง และกลับมาดำเนินชีวิตเช่นก่อนหน้าที่จะไปเรียน

นั่นคือ ทำงานกับครอบครัวและเปิดคลินิกรักษาสัตว์ไป ด้วย เพราะอะไรไม่รู้กิจการคลินิกไม่เจริญยิ่งทำก็ยิ่งจม ทุกคน เลยบอกให้ปิด แล้วไปทำงานกับพ่อเพียงอย่างเดียว ซึ่งนายกอก็ยอม แต่พอเว้นไป 1-2 ปี ก็ยังกลับมาเปิดอีก เพราะต้องการทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและไม่อยากละทิ้งความฝัน แต่คลินิกก็ไม่ดี เป็นอย่างนี้อยู่ทั้งหมด 3 ครั้ง จากนั้นจึงตัดสินใจว่าคงต้องทำงานกับพ่อเพียงอย่างเดียว

ถึงแม้จะทำงานในครอบครัว แต่บางครั้งทัศนคติระหว่างพ่อ-พี่ชายและนายกอก็ไม่ค่อยตรงกัน พ่อและพี่ชายคิดว่าการ มีทรัพย์สินที่เป็นสินค้าอยู่ในสต็อกนั้นดีกว่าการเอาสินค้านั้น ออกมาขายลดราคาเพื่อให้ได้เป็นตัวเงิน ซึ่งนายกอคิดว่ามันไม่ดีมันทำให้เงินจมอยู่ในนั้น จึงมีความขัดแย้งกัน ทะเลาะกันอย่างหนัก ครบ 10 ปี พอดีที่นายกอได้เข้ามาช่วยทำกิจการกับที่บ้าน

จากนั้นนายกอทราบว่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เปิดอบรมการเลี้ยงวัวที่นครปฐมเป็นระยะเวลา 1 เดือน นายกอจึงตัดสินใจไป อบรม ลูก ๆ ก็ได้แต่สงสัยว่า เอ๊ะ พ่อฉันหายไปไหน ทำไมยัง ไม่กลับบ้านอีก และสงสัยว่าพ่อของตนนั้นคิดอย่างไรกันที่ทำอย่างนี้ เมื่ออบรมเสร็จกลับมาแล้วก็มาบอกกับทุก ๆ คน ว่า ผมจะออกไปเลี้ยงวัวที่จังหวัดราชบุรีนะ ตอนนั้นลูกสาวคนโตเพิ่งจะเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนลูกสาวคนเล็กก็เพิ่งจะขึ้น ม.ปลายเอง ต่างก็คิดว่าแล้วจะดีเหรอ เพราะมันหมายถึงนายกอจะต้องย้ายออกไปจากบ้าน จากที่นายกอเคยอยู่บ้านทุกวัน อบอุ่นที่มี "พ่ออยู่ บ้าน" มีปัญหาสงสัยอะไรสามารถถามพ่อได้เลย มันก็จะไม่มีอีกแล้ว แต่นายกอก็ไป ตอนนั้นนายกออายุ 38 ปี ไม่มีใครรู้ว่านายกอไป แล้วจะเป็นอย่างไร แต่นายกอก็กลับบ้านทุกเดือน เดือนละ 2 วัน

…ปีที่ 2 หลังจากที่นายกอย้ายไปอยู่ราชบุรี ลูกสาวคนโตของ นายกอถูกชายคนหนึ่งทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง ทั้งยังทำตัวประชดชีวิต ไม่สนใจการเรียนเท่าที่ควร และสุดท้ายได้ตัดสินใจ ฆ่าตัวตาย แต่คงเป็นเพราะบุญยังมีอยู่ จึงรอดชีวิต นายกอได้แต่บอกกับลูกสาวคนโต ว่า "ผิดไปไม่มีใครว่าอะไร มีแต่คนให้ อภัย ขออย่างเดียว ..อย่าท้อแท้…"

ลูกสาวจึงถามนายกอ ขึ้นมาว่า "พ่อเสียดายไหมที่เรียนหมอไม่จบ แล้วต้องกลับมา" นายกอตอบ ว่า "รู้จักคำว่า replacement ไหม" ลูกสาวจึงตอบว่า รู้จัก

แล้วนายกอก็บอกว่า "ในเมื่อทำอย่างนั้นไม่ได้ ก็หาอย่างอื่นทำ ไปเรื่อย ๆ พ่อเรียนหมอไม่จบแล้วกลับบ้านมาเมืองไทย เปิดคลินิกแล้วเจ๊ง ไปทำงานกับอากงก็ทะเลาะกัน คิดว่าจะทำอะไรดี แล้วก็เลยลองมาเลี้ยงวัวดูว่าจะดีไหม คำตอบคือ ดี ทำแล้วมี ความสุข ถึงแม้จะไม่รวยแต่มีความสุข"

เมื่อลูกสาวฟังดังนั้น จากที่เคยนั่งร้องไห้เกือบทุกคืน และจากที่คิดว่าตัวเองไม่มีค่า เขาจากไปแล้ว แล้วฉันจะเหลืออะไร ได้เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่า มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ฉันสามารถทำได้ แล้วฉันก็จะต้องทำได้อย่างดีด้วย จึงหันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาและตั้งใจเรียน อ่านหนังสือแทนการร้องไห้ แล้วเธอก็สามารถเรียนจบได้อย่างดี

…ปีที่ 4 หลังจากที่นายกอย้ายไปอยู่ราชบุรี โชคดีที่ลูกสาวคนโตสามารถสอบเรียนป.โทได้ แต่เรียนได้แค่ปีเดียวเท่านั้นก็ไม่ไหว ด้วยเพราะเกรดไม่ดี แล้วมีความรู้สึกว่ามันคงไม่ใช่ทางของเรา เราถึงเรียนมาแล้วติดโปร จึงลาออกช่วงจังหวะที่ลาออกนั้น ลูกสาวได้คุยกับนายกอ นายกอแนะนำว่า ไม่เป็นไรเรียนไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่อย ๆ คิดว่าจะทำอะไรต่อไปดีกว่ามานั่งเสียใจ หรือมานั่งคิดว่า ตายล่ะเรียนมาแล้วไม่ได้ทำงานให้ตรงกับสาขาที่เรียนมา ให้ดูพ่อเป็นตัวอย่างเรียนหมอไม่จบแล้วต้องกลับมาบ้าน แล้วเป็นยังไงไหม?? ใช่ว่าชีวิตจะต้องมาจบอยู่แค่นั้น ก็เสียใจที่ไม่จบ แต่ไม่ได้เสียใจมาก เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป พ่อหาตัวเองเจอว่า มาเลี้ยงวัวแล้วดี มีความสุข เมื่ออายุ 38 เราอายุยังน้อยอยู่ค่อย ๆ หาไปว่าตัวเองชอบทำอะไร ทำอะไรก็ได้ที่เราชอบ พ่อไม่ว่า ถึงจะไม่ได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาก็ไม่เป็นไร มันไม่จำเป็น ที่เราเรียนจบ ป.ตรีก็ถือซะว่ามัน ทำให้เราเกิดทักษะ ไม่ต้องคิดมากนะ

จบค่ะ
จากชีวิตที่บางคนไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมถึงไม่เรียนโทต่อ เพราะพื้นฐานครอบครัวที่พ่อสอนมาว่า อะไรก็ได้ที่เราทำแล้ว เรารู้สึกสบายใจ

No comments: