Friday, November 28, 2008

สัมผัส

ผู้โดยสารบนรถประจำทางกำลังมองผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง
ที่มีไม้เท้าขาวอยู่ในมืออย่างเห็นอกเห็นใจ
เธอเดินขึ้นบันได รถอย่างระมัดระวังหลังจากชำระค่าโดยสารให้แก่พนักงานแล้ว
ใช้มือคลำหาที่นั่งค่อยๆ ก้าวลึกเข้าไปตามช่องทางเดิน
จนกระทั่งเขาจะเป็นฝ่ายกระซิบบอกเมื่อพบที่ว่าง
เธอจึงนั่งลงวางกระเป๋าถือไว้บนตัก และเก็บไม้เท้าเอามาพาดไว้บนหน้าขา

หนึ่งปีแล้วที่ซูซานวัย 34 ปีได้กลายเป็นคนตาบอด
การวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ผิดพลาด ทำให้เธอต้องตกอยู่ในโลกมืด
ไม่อาจมองเห็นได้อีกต่อไป อารมณ์โกธรแค้น สูญเสียและสงสารตัวเอง
พลันอุบัติขึ้นและดำรงอยู่นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ก่อนนั้นซูซานสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง
แต่บัดนี้เธอรู้สึกเหมือนถูกลงทัณฑ์ด้วยเคราะห์กรรมสักอย่าง
ให้กลายเป็นคนไร้ความสามารถ ช่วยตัวเองไม่ได้ กระทั่งกลายเป็นภาระของคนรอบข้าง “
ทำไมฉันต้องเป็นเช่นนี้ ” เธออยากสู้คดี… หัวใจเธอเต็มไปด้วยความโกรธ
แต่ไม่ว่าจะร่ำไห้คร่ำครวญ ตีโพยตีพาย หรือสวดมนต์วิงวอนเพียงใด
เธอก็ตระหนักถึงความจริงอันเจ็บปวดว่า สายตาเธอนั้นไม่มีวันกลับคืนมาดีได้ดังเดิมอีกแล้ว

เมฆหมอกแห่งความหดหู่ได้ปกคลุมจิตใจ ที่เคยมองโลกในแง่ดีของซูซานไปเสียแล้ว
เพียงแค่จะใช้ชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวัน ก็ดูจะสั่งสมถมเพิ่มความหงุดหงิด
และเหนื่อยอ่อนให้เธอเกินจะแบกทานไหว
ทั้งหมดนี้จึงทำให้เธอต้องผูกพันอยู่กับมาร์ก ผู้เป็นสามีแต่เพียงผู้เดียว

มาร์กเป็นทหารอากาศซึ่งรักซูซานจนหมดหัวใจ
เมื่อแรกที่เธอนั้นต้องสูญเสียการมองเห็นไปนั้น เขาได้แต่นั่งมอง
ภรรยาจมอยู่กับความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
ถัดมาเขาก็เกิดปณิธานอันแน่วแน่ที่จะช่วยเธอกลับมาเป็นคนเข้มแข็ง
และมีความมั่นใจในตัวเองเหมือนอย่างที่เคยเป็น
จากประสบการณ์ด้านการทหารที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี
เพื่อเผชิญกับสถานการณ์อันละเอียดอ่อน
เขาพบว่านี่เป็นศึกหนักที่ยากสุดเท่าที่เขาเคยเผชิญมา

และแล้วซูซานก็พร้อมจะกลับไปทำงานอีกครั้งหนึ่งแต่ปัญหายังมีอยู่ว่า
เธอจะเดินทางไปทำงานได้อย่างไร ก่อนนี้เธอ เคยใช้บริการรถประจำทาง
แต่ยามนี้เธอกลับวิตกที่จะต้องไปไหนมาไหนโดยลำพัง มาร์กอาสาขับรถไปส่งเธอ
แม้ทั้งคู่ จะทำงานกันคนละมุมเมืองเลยก็ตาม
ความคิดดังกล่าวทำให้ซูซานสบายใจขึ้น
ทั้งยังเป็นการสนองความปรารถนาของมาร์กที่อยากดูแลคู่ชีวิตผู้ขาดความมั่นใจ
ที่จะเผชิญกับสถานการณ์อันเปราะบางที่สุดเช่นนี้

ในไม่ช้ามาร์กก็ตระหนักว่าความคิดนั้นไม่เข้าท่า วุ่นวายและสิ้นเปลืองมากเกินไป
“ ซูซานต้องกลับไปขึ้นรถประจำทางอีกครั้ง ” เขาสรุปกับตัวเอง
แต่เพียงแค่คิดจะเอ่ยเรื่องนี้กับเธออย่างไร ก็ทำให้
เขารู้สึกหนักใจเสียแล้ว เนื่องจากเพราะเธอต้องการคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
บวกกับยังเป็นคนเจ้าอารมณ์อยู่มาก
“ เธอจะคิดอย่างไรนะ… “ มาร์กอดปรารภกับตัวเองไม่ได้
การณ์เป็นไปตามที่มาร์กคาดไว้ไม่มีผิด
ซูซานกลัวที่จะกลับมานั่งรถประจำทางอีกครั้ง
“ ฉันตาบอดนะ ” เธอกล่าวอย่างขมขื่น
“ แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังจะไปไหน มาร์ก…
คุณรู้สึกไหมว่าฉันรู้สึกว่าคุณกำลังจะทอดทิ้งฉัน ”

หัวใจมาร์กพลอยปวดร้าวเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ
เขาจึงสัญญาว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเธอทุกเช้าและเย็นจนกว่าเธอจะค่อยๆคุ้นชิน
แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆๆ…

เป็นเวลาสองสัปดาห์ที่ผู้โดยสารบนรถประจำทางสายนั้น ได้เห็นมาร์กในเครื่องแบบทหารเต็มยศ
ปรากฏร่างอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนเธอทั้งเช้าและเย็นทุกวัน

เขาเฝ้าอดทนสอนให้เธอรู้จักใช้ประมาทสัมผัสอื่นๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการได้ยิน เพื่อจะได้รู้ว่าขณะนี้กำลังอยู่ที่ใด
รวมทั้งยังสอนให้เธอรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่
และช่วยเธอผูกมิตรกับพนักงานขับรถ
เพื่อที่เขาคนนั้นจะได้ช่วยดูแลหาที่นั่งให้เธออีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้เขายังทำให้เธอหัวเราะได้แม้ในวันที่ดูจะเป็นปัญหา
เช่น ตอนที่เธอหกล้มขณะเดินลงรถ
หรือตอนที่เธอทำกระเป๋าถือหล่น จนเป็นผลให้เอกสารทั้งหลายทั้งปวงร่วงเกลื่อนทางเดิน
ทั้งคู่จะออกเดินทางด้วยกันตอนเช้า
แล้วมาร์กก็จะนั่งแท๊กซี่กลับไปทำงานตามปกติ


ถึงแม้ว่านี่จะดูเป็นการสิ้นเปลือง และทำให้มาร์กเหน็ดเหนื่อยมากกว่าความคิดแรก
แต่เขาก็รู้ดีว่ามีแต่เวลาเท่านั้นที่จะช่วยให้เธอสามารถขึ้นรถประจำทางได้ด้วยตัวเอง
เขายังเชื่อมั่นในตัวเธอเสมอ…

ซูซานผู้ไม่เคยเกรงกลัวการท้าทายอันใด
และไม่ยอมเลิกราอะไรง่ายๆ ในที่สุด
วันที่ซูซานรู้สึกว่าตนพร้อมที่จะเดินทางโดยลำพังก็มาถึง
ก่อนจะก้าวขึ้นรถประจำทางในเช้าวันจันทร์
เธอได้โอบกอดมาร์กผู้เป็นสามี และเคยเป็นเพื่อนร่วมทางบนรถที่ดีที่สุดของเธอ
ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความตื้นตันในความซื่อสัตย์
ความอดทนและความรักที่สามีต่อเธอ จากนั้นเธอได้กล่าวลา
และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองแยกกันเดินทางไปทำงาน

จากวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส…
แต่ละวันดำเนินไปด้วยดีทว่าลึกๆ แล้วซูซานไม่เคยรู้สึกดีขึ้นเลย
เธอเพียงแต่ทำไป ตามปกติ เดินทางไปทำงานด้วยตนเอง…

เช้าวันศุกร์
เธอยังคงขึ้นรถประจำทางไปทำงานเช่นเคย และเมื่อกำลังจะลงจากรถนั้น
เธอได้ยินคนขับรถพูดขึ้นมาว่า

“ แหม… ผมอิจฉาคุณจัง ”
แรกทีเดียวซูซานไม่มั่นใจว่าเขาพูดกับเธอหรือเปล่า…
ก็ใครเล่าจะอิจฉาคนตาบอดผู้พยายามรวบรวมความกล้าหาญเพื่อที่จะดำรงชีวิตอยู่ให้ได้

แต่ด้วยความอยากรู้ เธอจึงถามกลับไปว่า
“ ทำไมคุณอิจฉาล่ะ ” คนขับรถตอบว่า
“ ผมคงรู้สึกดีมากๆ
หากมีใครสักคนมาคอยดูแลปกป้องเหมือนอย่างที่คุณได้รับอยู่ ”
ซูซานไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดจึงถามอีก
“ คุณหมายความว่าอย่างไรกัน ” เขาตอบว่า
“ คุณรู้ไหมว่าทุกเช้าๆตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้
มีสุภาพบุรุษหน้าตาดีคนหนึ่งในเครื่องแบบทหารยืนตรงหัวมุมถนน
คอยเฝ้าดูคุณเวลาคุณก้าวลงจากรถ
รอจนมั่นใจว่าคุณได้ข้ามถนนอย่างปลอดภัยแล้วและยังคงคอยกระทั่ง
คุณเดินเข้าไปในอาคารสำนักงานจนเรียบร้อย
จากนั้นก็ส่งจูบและคำนับให้นิดหนึ่งก่อนจะเดินจากไป…นี่ละ…
ผมจึงเห็นว่าคุณเป็นสุภาพสตรีที่โชคดีเหลือเกิน ”

น้ำตาแห่งความปลื้มปิติค่อยๆไหลรินลงมาอาบแก้มของซูซาน
แม้ขณะนี้เธอไม่อาจมองเห็นเขาได้ด้วยสายตาตนเองก็จริง
แต่เธอสามารถสัมผัสได้ตลอดเวลา ถึงการมีอยู่ของมาร์ก เธอช่างโชคดี โชคดีมากๆ
เพราะเขาได้มอบของขวัญที่มีคุณค่ามากกว่าการมองเห็น
ของขวัญที่เธอไม่จำเป็นต้องได้เห็นถึงจะเชื่อ
เป็นของขวัญแห่งความรัก ที่สามารถนำมาซึ่งแสงสว่างไปสู่ทุกๆ หนแห่งในความมืดมิด

No comments: