Thursday, November 27, 2008

มองโลกแง่ดี มีความสุข

การมองโลกแง่ดีเป็นศิลปะสำคัญของการดำรงชีวิตให้มีความสุข
เป็นอุบายกล่อมใจ ให้ยอมรับสภาพปัญหาที่กำลังปรากฏ
เพื่อให้มีกำลังใจ และความเข้มแข็งในการต่อสู้กับชีวิตต่อไป

ผมเคยอ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ล พบคำสอนของพระเยซูที่ประทับใจบทหนึ่ง
ท่านสอนว่า "ร่างกายสำคัญกว่าเสื้อผ้า ชีวิตสำคัญกว่าอาหาร"
เป็นการสอนคนที่ขาดเสื้อผ้าให้ทราบว่า เขามีสิ่งที่สำคัญกว่าเสื้อผ้าคือร่างกายของตนเอง
และสอนคนที่ขาดอาหาร ให้พอใจแล้วที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้

ผมได้อ่านขำขัน ที่เด็กคนหนึ่งถูกเพื่อนขโมยขนมไปครึ่งหนึ่ง
เด็กนั้นรำพึงรำพันว่า แกต้องเสียขนมไปตั้งครึ่งหนึ่ง
แล้วเพื่อนก็ปลอบว่า ให้มองโลกในแง่ดีสิ แกยังเหลือขนมอีกตั้งครึ่งหนึ่ง
การเปลี่ยนมุมมองสักนิด บางทีก็ทำให้อะไรๆ ดีขึ้นได้หลายอย่าง

ในช่วงวิกฤต IMF นั้น หลายคนเดือดร้อนมาก
บางคนล้มละลาย บางคนท้อแท้ใจในชีวิต
แต่บางคนมองโลกในแง่ดีว่า
ในวันที่เขาเกิดมานั้น เขาไม่มีอะไรมาเลย ไม่มีทรัพย์สิน กำลังกาย กำลังความรู้
ตอนนี้ถึงจะไม่มีทรัพย์สิน แต่ก็ยังมีกำลังกาย ความรู้ และประสบการณ์
นับว่ายังดีกว่าจุดเริ่มต้นอีกมากนัก

การมองโลกในแง่ดีเพื่อสร้างความพอใจในสิ่งที่ตนมี ยอมรับในสิ่งที่ตนได้
เป็นคำสอนของปราชญ์ทั่วไป รวมทั้งพระศาสดาของเราชาวพุทธด้วย
เช่นทรงสอนให้เรามองโลกด้วยความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกและสรรพสัตว์
แต่คำสอนทางพระพุทธศาสนา ยังก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง
เหนือการมองโลกในแง่ดี คือการมองโลกตามความเป็นจริง
การมองโลกตามความเป็นจริงของพระพุทธศาสนานั้นมีความลึกซึ้งและละเอียดอ่อนมาก
คือท่านสอนตั้งแต่วิธีการมองโลกตามความเป็นจริง
ให้รู้ปรากฏการณ์ทั้งปวงที่สัมผัสได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจตามที่มันเป็น
โดยไม่นำประสบการณ์ หรือความคิด เข้าไปเบี่ยงเบนการเรียนรู้นั้น
ท่านชี้บอกกระทั่งว่า เมื่อมองโลกตามความเป็นจริงแล้ว
เราจะเห็นอะไรคือเราจะเห็นว่า สิ่งที่ถูกเห็นทั้งปวงนั้น
มีความเกิดขึ้นด้วยเหตุ และดับไปเมื่อเหตุดับ
ยังมีคำสอนที่ลึกซึ้งและอัศจรรย์ยิ่งกว่านี้อีก
คือท่านสอนให้มองย้อนเข้ามาที่ตนเองด้วย ไม่ใช่เพียงรู้โลกตามความเป็นจริงเท่านั้น
หากแต่ยังให้รู้จักมองตนเอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของประสบการณ์ทั้งปวงด้วย
ความรู้ทางพระพุทธศาสนาจึงเป็นความรู้ที่แจ่มแจ้ง
คือรู้ตามความเป็นจริงถึงสิ่งภายนอก อันได้แก่ปรากฏการณ์ทั้งปวง
และรู้ชัดถึงสิ่งภายใน อันได้แก่สิ่งที่เรียกว่า เรา เรา เรา ด้วย
เมื่อมองทุกอย่างตามความเป็นจริงจนถึงขั้นปราศจากตัวเราแล้ว
สิ่งภายนอกทั้งปวงจะมีความหมายอะไร
ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ต้องคอยนั่งปลอบใจตนเอง
หรือพยายามมองโลกในแง่ดีเป็นคราวๆ ไป
การแก้ปัญหาความทุกข์ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาจึงมีจุดสิ้นสุด

หากจะสรุปรวบย่อ ก็อาจกล่าวได้ว่า
มองโลกแง่ดี มีความสุข
มองโลกตามความเป็นจริง พ้นทุกข์

No comments: