…..ผมเป็นลูกคนเดียว พ่อกับแม่เป็นพนักงานธนาคาร
ท่านเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเดียวกัน เรียนอยู่คณะเดียวกัน
เพียงแต่พ่อเรียนสูงกว่าแม่หนึ่งปี ทั้งคู่ก็เป็นลูกคนเดียว
แม่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน มีฐานะค่อนข้างดี
ส่วนพ่อเป็นลูกกำนันอยู่ที่ประจวบคีรีขันธ์ ฐานะพอใช้ได้
เมื่อจบออกมาท่านก็ได้งานทำที่ธนาคารเดียวกันอีก
เมื่อยังเป็นพนักงานตำแหน่งเล็กๆ นั้น
ท่านอยู่สาขาธนาคารใกล้กัน
พ่อต้องขับรถไปส่งผมที่โรงเรียนอนุบาล แล้วจึงไปส่งแม่ที่สาขาธนาคารของแม่
ก่อนขับรถต่อไปที่สาขาที่พ่อทำงานอยู่ ซึ่งไม่ห่างไกลกันนัก
เวลากลางวันพ่อจะขับรถมาหาแม่ เอาอาหารที่เตรียมไว้
หรือซื้อหาไว้ไปรับประทานกับแม่แล้วรีบกลับไปสาขาของตนเอง
งานเลิกก็กลับไปรับแม่ แล้วเลยมารับผมที่โรงเรียน
นี่เป็นเรื่องประจำวันเมื่อครั้งผมยังเป็นเด็ก
พ่อไม่ออกไปสมาคมกับเพื่อนฝูงในตอนค่ำโดยไม่มีแม่เด็ดขาด
ทั้งที่แม่เป็นผู้หญิงเรียบร้อย ผมไม่เคยเห็นแม่แสดงอาการหึงหวงพ่อแม้แต่ครั้งเดียว
วันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุด
เราทำกิจกรรมร่วมกันอย่างไม่เคยแยกจากกันมาโดยตลอด
จนเป็นครอบครัวที่ถูกกล่าวขวัญถึงว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่น
พ่อกับแม่เป็นคู่สามีภริยาที่ได้รับการยกย่องเป็นตัวอย่างในเรื่องความรักความ ความเอ็นดู
เป็นสิ่งที่ครอบครัวเราภูมิใจมาก
เมื่อผมโตเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร
พ่อกับแม่ตื่นแต่มืด เพื่อไปส่งผมที่โรงเรียนใกล้สวนลุมฯ
เพราะโรงเรียนเข้าเช้ามาก จนกระทั่งเมื่อ
เข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจนั่นแหละ
ผมจึงห่างพ่อแม่ไปบ้าง แต่ก็เฉพาะในวันธรรมดาเท่านั้น
ส่วนวันหยุดพ่อกับแม่จะไปคอยหน้าโรงเรียนแล้วกลับบ้านด้วยกัน
ผมคิดเสมอว่าวันหนึ่งเมื่อมีครอบครัวเป็นของตนเอง
ผมจะต้องมีครอบครัวเหมือนพ่อกับแม่นี่แหละ
ระหว่างอยู่โรงเรียนนายร้อย ผมเล่นกีฬาหนัก
ผมชอบออกไปวิ่งนอกบ้านในวันหยุด โดยมีพ่อวิ่งตามไปด้วยบ้างบางครั้ง
ซอยที่บ้านลึกประมาณกิโลเมตรเศษ
ไม่มีรถสัญจรไปมาเพราะเป็นซอยตัน
เป็นที่ดินที่พนักงานธนาคาร
ลงขันกันซื้อ ตัดถนนเป็นซอย จึงรู้จักกันทั้งซอย
ปากซอยที่ตึกแถว 3 คูหา ก็เป็นของพนักงานธนาคารเหมือนกัน
ทำเป็นร้านชำ ร้านขายอาหาร และร้านถ่ายรูป
ผมกับพ่อมักวิ่งกันจนไปถึงปากซอย
แล้ววิ่งย้อนกลับ พ่อจะเดินกลับ เพราะพ่อวิ่งไม่ไหว
ผมต้องวิ่งจนเหงื่อท่วมแล้วค่อยเข้าบ้าน
บางครั้งพ่อก็แวะคุยกับพนักงานที่เป็นเจ้าของร้านค้า
ตึกแถวห้องแรกที่นับจากท้ายซอยเป็นร้านชำ
มีญาติของเจ้าของร้านเป็นผู้ดำเนินการ เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาดี
อายุอานามคงมากกว่าผมไม่เกินสิบปี
ผมรู้จักเธอ เคยคุยด้วยสองสามครั้ง
แต่เมื่อผมออกจากโรงเรียนนายร้อยเป็นนายตำรวจแล้ว
ได้ยินว่าเธอไม่ได้ช่วยญาติค้าขายแล้ว
กลับไปทำงานส่วนตัวที่จังหวัดลำปาง
เมื่อผมจบเป็นนายตำรวจ แม่เริ่มล้มป่วยลง
แม่มีอาการของโรคหัวใจ เหนื่อยง่าย ในที่สุดแม่ต้องออกจากธนาคาร
เพราะทำงานต่อไปไม่ไหว
ตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ ผมพยายามกลับมานอนบ้านทุกวันที่มีโอกาส
เพื่อกลับมาหาแม่
ทุกครั้งที่กลับบ้านผมมักเห็นพ่อนั่งกุมมือแม่
ขณะที่แม่นอนหลับตา
หากเป็นยามแม่ตื่น ผมก็เห็นพ่อคลอเคลียแม่อยู่ใกล้ๆ
ถ้าแม่นั่งดูรายการทีวีที่แม่ชอบ
พ่อต้องนั่งกุมมือซ้ายของแม่ด้วยมือขวา แล้วโอบกอดด้วยแขนข้างซ้าย
และมักจะมองแม่ด้วยความรัก เอ็นดูเสมอ พ่อพร่ำสอนผมเสมอว่า
"มีรักเดียวนะลูก แล้วลูกจะรักษาครอบครัวเอาไว้ได้ "
ผมไม่รู้ว่าความรักเป็นอย่างไร แต่เมื่อจบเป็นนายตำรวจได้ห้าปี
ผมได้พบกับหญิงสาวแสนสวย
เธอกำลังเป็นดาราที่เริ่มส่งแสงแววไวในวงการโทรทัศน์ และวงการนางแบบ
มีผู้ชายสนใจเธอมากมายหลายคน แต่เธอสนใจผมมากกว่าคนอื่น
อาจเป็นเพราะผมช่วยเหลือญาติ ของเธอที่ถูกรังแกเอาไว้ก็ได้
เรารดน้ำพรวนดินความสัมพันธ์ของเราเรื่อยมา
และคิดว่าวันหนึ่งจะผลิดอกมาเป็นความรัก
แม่ต้องเข้าออกโรงพยาบาลติดต่อกันมาเกือบ 5 ปี
ในที่สุดเมื่อร่างกายของแม่อ่อนเปลี้ยเต็มที่
แม่ก็ร้องขอให้พ่อพากลับบ้าน โดยหวังว่าจะมาตายในบ้านของเรา
บ้านที่แม่รักนักหนา…
เพียงสองวันที่แม่มาถึงบ้าน แม่ก็สิ้นใจลง
ตลอดระยะเวลานั้น
พ่อได้อยู่ใกล้ชิดกับแม่ พ่อกุมมือแม่ไว้ตลอดไม่ได้หลับนอน
เหนื่อยนักก็ซบหน้าลงกับที่นอนของแม่
จนแม่จากไปพ่อร้องไห้เหมือนใจจะขาด
ระหว่างงานศพของแม่
พ่อนั่งฟังพระสวดเหมือนหุ่นยนต์ จิตใจเลื่อนลอย
ร่างกายของพ่อดูสั่นไหวตลอดเวลา มือสั่นเทิ้ม
เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้
เพื่อนฝูงของพ่อมองดูพ่อด้วยความเวทนาสงสารพ่อเป็นอย่างยิ่ง
แต่งานศพก็ผ่านไปด้วยดี สวดครบเจ็ดวันก็เผาทันที
ผมถามพ่อว่าทำไมถึงเผาแม่เร็วอย่างนี้
พ่อบอกว่าเป็นคำสั่งของแม่ที่จะให้พ่ออยู่อย่างเข้มแข็งเพื่อดูแลผมต่อไป
ผมเคยเล่าเรื่องความรักของพ่อกับแม่ให้คนที่ผมคิดจะรักฟัง
เมื่อเธอพบพ่อกับแม่
ผม และเธอ ไปมาหาสู่สนิทสนมกัน เธอเห็นด้วยกับผมทุกประการ
หลังจากงานศพของแม่แล้ว
ผมก็เดินทางไปรับตำแหน่งหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรตำรวจเล็กๆ
ผมมีโอกาสเดินทางกลับบ้านเพียงครั้งเดียว
หลังจากไปรับตำแหน่ง เมื่อมาถึงบ้านหลังจากที่โทรมาบอกก่อน
ผมพบพ่อผมนั่งเก้าอี้รับแขกมีอาการเหม่อลอย นั่งจ้องดูรูปแม่ที่แขวนไว้ที่ผนังบ้าน
ถึงเวลารับประทานอาหาร
พ่อหยิบรูปเล็กของแม่มาตั้งไว้ที่โต๊ะอาหาร
พูดกับรูปแม่เชิญแม่ทานข้าวด้วยถ้อยคำอันอ่อนหวาน ซาบซึ้ง
ชวนให้แม่ทานผัด ทานแกง ผมดูแล้วสงสารพ่อจับใจ
ผมค้างที่บ้านคืนเดียว รุ่งขึ้นผมบินกลับต่างจังหวัด
พอไปถึงก็ได้รับวิทยุให้กลับมากรุงเทพฯ
เพื่อพบกับผู้บังคับบัญชาระดับกรม ด้วยเรื่องราชการสำคัญ
ผมต้องรีบจับเครื่องบินเข้ากรุงเทพอีกครั้ง
เมื่อเครื่องบินมาถึงกรุงเทพ
ผมรีบเดินไปที่เครื่องเบิกถอนเงินอัตโนมัติ
เพื่อกดเงินสำรองเอาไว้
ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในอาคารสนามบิน
พ่อผมนั่นเอง
ท่านมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสไร้ความทุกข์ใดๆ บนใบหน้า
ผมจึงเดินตามพ่อไปช้าๆ เพื่อจะทักพ่อให้แปลกใจ
ผมเห็นพ่อเดินไปทางผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศ พอพ่อไปถึง
ผมเห็นพ่อตรงเข้าไปหาหญิงแต่งตัวดีคนหนึ่ง ยืนเหมือนคอยพ่ออยู่
มือข้างหนึ่งของเธอจูงเด็กชายอายุประมาณสิบขวบได้
เมื่อเธอเห็นพ่อผม เธอก็ผวาเข้าสวมกอดพ่อ
พ่อกอดตอบแล้วจูบที่หน้าผากเบาๆ
เหมือนที่เคยทำกับแม่ของผม และก้มลงสวมกอดเด็กชายคนนั้น
แล้วจูบแก้มแรงๆ เหมือนทำกับผมเมื่อ ครั้งเป็นเด็ก
ผมรู้สึกใจหายเมื่อเห็นหน้าผู้หญิงที่จูงเด็กมา
เธอเป็นคนที่เป็นผู้ดูแลร้านชำหน้าปากซอย
ส่วนเด็กคนนั้นทำเอาผมตกตะลึง
เพราะใบหน้าของเจ้าหนูละม้ายกับผมตอนเด็กๆ
อย่างกับจะถอดพิมพ์ กันออกมา!!
พ่อผมพาผู้หญิงและเด็กออกจากสนามบินด้วยท่าทีอันแจ่มใสร่าเริง และมีความสุข
เป็นภาพเดียวที่ผม เคยเห็นมาตลอดชีวิต เพราะพ่อทำกับผมและแม่อย่างสม่ำเสมอ
ผมยืนจังงังสักพักก็ตั้งสติได้
ผมโทรศัพท์ถึงดาราสาวที่ผมกำลังจะผูกสมัครรักใคร่
แล้วบอกเลิกกับเธอ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มั่นคง
เธอร่ำไห้ออกมาอย่างตกใจสุดขีด ระล่ำระลักขอทราบเหตุผล
ผมบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงสุดเย็นชาอย่างที่ไม่เคยได้ยินตัวเองพูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้มาก่อนว่า
บ้านผมมีนักแสดงที่ยิ่งใหญ่คนเดียวพอแล้ว
ไม่มีที่ว่างสำหรับเธออีกต่อไป ....
No comments:
Post a Comment