Thursday, November 27, 2008

ความศักดิ์สิทธิ์ของคำว่าแม่

ค่ำวันหนึ่งผมได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงที่ภัตตาคารใหญ่แห่งหนึ่งกลางเมืองคลีฟแลนด์
เมื่อกินอาหารเสร็จแล้วก็คิดจะกลับบ้าน เพราะถึงเวลาควรกลับได้แล้ว
ผมเดินมาคนเดียวที่ลานจอดรถที่เปิดไฟสว่างไสว มีรถจอดเต็มไปหมด
เพื่อจะขับรถกลับบ้านเมื่อเดินมาถึงรถ ก็ไขกุญแจเข้าไปในรถ
ปรากฏว่ามีวัยรุ่น3 คน ที่เดินตามมาห่างๆ
โดยผมไม่เฉลียวใจว่าเขาจะมาดีหรือมาร้าย
ปราดเข้าเอาปืนจี้ที่ศรีษะ และให้เข้าไปในรถ ผมตกใจไม่กล้าร้อง
เขาให้ผมเข้าไปในรถ โดยนั่งด้านหน้าคู่กับคนขับ
วัยรุ่นคนหนึ่งทำหน้าที่คนขับอีกคนนั่งที่เบาะหลัง
โดยมีคนหนึ่งคอยเอาปืนจี้ผมตลอดเวลา
วัยรุ่นคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นคนขับก็สตาร์ทรถ และขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว
เขาเปิดเพลงดังมาก หัวเราะ พูดจากันเอะอะโวยวาย สูบบุหรี่ควันโขมงไปหมด
ผมอยู่ในภาวะที่เครียดมาก พอหมดภาวะนั้นแล้วก็เริ่มมีสติ
จึงขอบุหรี่เขาสูบมวนหนึ่ง เพื่อทำตัวให้เข้ากับสถานการณ์
ผมอัดบุหรี่เข้าไปเต็มที่ แล้วจึงเริ่มคุยกับเขาผมแสดงความจริงใจ
โดยบอกเขาว่าผมเป็นนักเรียนไม่มีเงินมากหรอก
ถ้าจะเอาเงินผมก็จะให้เงินทั้งหมดที่มีอยู่แต่ขอกระเป๋าเอกสารเอาไว้เถิด
ว่าแล้วเงินก็ให้เขาไปจนหมด
ผมขอให้เขาเบาเสียงเพลงลงหน่อย เพราะดังมากเขาก็ไม่ยอม
ผมเลยชวนคุยเรื่องว่า เขาคงมีแฟนไม่ไปหาแฟนหรือ
เขาก็ตอบแบบกระชากๆ ว่าไม่สนใจหรอกมีแฟนกี่คนก็ได้
ตอนนี้ก็มีกันทุกคนแต่ไม่สำคัญหรอก

ผมก็ถามว่ามาเที่ยวดึกๆ อย่างนี้พ่อไม่ว่าหรือ
เหมือนนัดหมายกันทั้งสามคำรามใส่คำว่า พ่อ แถมพูดหยาบๆ
และบอกว่าอย่าเอ่ยถึงพ่อได้ไหมพวกเขาเกลียดพ่อ
ผมก็เลยเปลี่ยนมาคุยเรื่องแม่ ถามเขาว่าแม่รักเขาไหม
เขามีทีท่าอ่อนลง บอกว่าแม่รักเขา และตีพวกเขา
ผมได้ทีก็เลยชวนคุยเรื่องแม่ต่อไปอีก
โดยบอกว่าเขาก็คงรักแม่เหมือนกับที่ผมรักแม่
และแม่ก็คงรักพวกเขาเหมือนกับที่แม่รักผม
ผมมาอเมริกาเพื่อศึกษา แม่ก็เป็นห่วงและคิดถึง
ถ้าแม่รู้ว่าผมตกอยู่ในภาวะอันตรายหรือเป็นอะไรไป
แม่คงจะโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก คงเหมือนกับแม่ของพวกเขาเหมือนกัน
ถ้าหากรู้ว่ามีอันตรายเกิดกับลูกแม่คงแทบสูญสิ้นชีวิต
พวกเขานั่งเงียบและเบาเสียงวิทยุลง
ผมเลยขอร้องเขาว่า อย่าทำอันตรายอะไรผมเลยให้นึกถึงความรู้สึกของแม่
ซึ่งถ้าหากรู้ว่าลูกได้รับอันตรายแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง
ถ้าหากเขาอยากได้รถก็เอาไปเถิด อยากได้เงินก็ให้เงินไปแล้วแต่อย่าทำอันตรายผมเลย

ผมได้ยินเสียงกริ๊กจากปืนที่คนนั่งข้างหลังจ้องอยู่ คงเป็นการปลดกระสุนปืนออก
แล้วก็ยื่นปืนให้ผมพร้อมกับยื่นมือให้ผมจับ
เขาบอกว่าจากวันนี้ไปเรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ
ผมก็จับมือเขาแล้วเราทุกคนก็หัวเราะพร้อมๆกัน

คนหนึ่งบอกว่าอยากดื่มเบียร์
เขาก็จอดรถ ซื้อเบียร์กระป๋องมาดื่มกันในรถที่ขับไป
สุดท้ายเขาจอดรถในที่ใกล้ๆ หมู่บ้านแห่งหนึ่งบอกเขาจะไปกันละนะ
เขาไม่เอารถหรอกจะคืนรถให้ ขอให้ผมโชคดีในการเรียน
จะได้กลับบ้านไปพบแม่ที่ผมรัก ซึ่งเขาก็รักแม่ของเขา
และเขาก็จะไปหาแม่ของเขาเช่นกัน
พอเขาลงจากรถผมก็ขับรถกลับบ้านที่พักด้วยความรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่

สิ้นปีนั้นผมก็ย้ายเมืองไปอยู่นิวยอร์กเมื่อจบการศึกษาด้านกุมารเวช
และเริ่มเรียนทางด้านจิตเวชต่อไปอีก ประสบการณ์นี้ผมไม่เคยลืมเลือน
คิดว่าตัวเองรอดชีวิตไม่มีอันตรายมาได้ด้วยคำว่า "แม่" นี่เอง

เรื่องนี้ก็ไม่เคยเล่าให้แม่ฟัง ปีนี้เป็นปีที่แม่ของผม (ทองอยู่ นาควัชระ)
ได้รับเกียรติรับเลือกเป็นแม่ดีเด่นของชาติ แม่คงจะรู้เรื่องจากนิตยสารนี้แหละ
จะได้รู้คำว่า "แม่" นั้นศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองชีวิตลูกได้ และอยากให้ลูกทุกๆ คน

รักแม่ ให้แม่รักลูก เพราะเป็นสายใยอันเดียวที่จะทำให้มนุษย์อุ่นใจปลอดภัย
และเป็นมงคลกับชีวิต บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเทิดทูนบูชาพระคุณของ "แม่" ของคนทั้งโลกครับ

No comments: