Friday, November 28, 2008

สื่อรักอินเทอร์เน็ต

ขณะนี้ฉันนอนอยู่บนเตียง หลังจากที่ลุกไปอาเจียนหลายรอบจนหมดแรง และฉันกำลังนอนคิดถึงเรื่องราว ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของตัวฉันเอง

ฉันเกิดมาจากครอบครัวที่อบอุ่น ฉันเป็นลูกคนเดียว ที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก ฉันเลยเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง จะเอาอะไรเป็นต้องได้ดั่งใจ ครอบครัวเราย้ายมาอยู่ที่ประเทศสวิสเซอรแลนด์ ตั้งแต่ฉันอายุได้แปดขวบ ฉันจึงเรียน และเติบโตที่นี่ ฉันถูกอบรมและสั่งสอนมาแบบไทยกึ่งยุโรป คุณพ่อและคุณแม่ของฉันท่านเป็นทนายทั้งคู่ แต่ว่าฉันเลือกที่จะเรียนการโรงแรม เพราะใจฉันรักงานทางด้านนี้ และความที่ฉันเป็นคนชอบฟังเพลง มาตั้งแต่เด็ก ๆ ฉันจึงไปเรียนทางด้านดีเจและสอบจนได้ใบอนุญาตมา และต่อมาก็ได้มีรายการวิทยุเป็นของตัวเอง ฉันทำงานด้านดีเจพร้อมกับเรียนที่มหาวิทยาลัยไปด้วย

ชีวิตในมหาวิทยาลัย เป็นชีวิตที่สนุกมากสำหรับฉัน ฉันจะมีแต่เพื่อนต่างชาติ และเพื่อนคนไทยที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แค่สองคนเท่านั้นเอง ฉันเป็นประธานนักเรียนไทยในสวิส เป็นนักแข่งรถสมัครเล่นทีมยุโรป ชีวิตในแต่ละวันของฉัน หมดไปกับการเรียน และการทำกิจกรรม แล้วก็งานด้านดีเจ ฉันมีเพื่อนชายมากมาย แต่ก็แค่ไปทานข้าวฟังเพลงเท่านั้น ไม่มีใครคนไหนมาทำให้ฉันรู้สึกรักได้เลย

ฉันคบเพื่อนชายพร้อมกันหลาย ๆ คน และฉันก็บอกให้พวกเขาทราบกันหมดทุกคนด้วยว่า ฉันคบใครอยู่บ้าง ฉันไม่เคยให้ความหวังกับใคร หรือตอบรับรักใครเลยสักคน เพราะฉันคิดเสมอว่า ฉันมีสิทธิ์ที่จะเลือกคนที่ดีที่สุด มาเป็นคู่ชีวิตของฉัน

พอฉันเรียนปีสุดท้าย คุณแม่ก็ขอให้ฉันรับหมั้นกับลูกชายเพื่อนของท่าน ซึ่งฉันกับเขาก็รู้จักกันมาหลายปีแล้ว ด้วยความที่ฉันยังไม่เคยรักใครมาก่อน ก็เลยรับหมั้นเขา แต่ฉันก็ได้ขอเวลากับเขาสองปีแล้วค่อยแต่งงานกัน และในระหว่างสองปีนี้ ถ้าฉันเกิดเจอคนที่ฉันรักขึ้นมา เขาต้องปล่อยฉันไป ซึ่งเขาก็ได้ตอบตกลงกับฉัน หลาย ๆ คนบอกว่า ฉันโชคดีที่ได้หมั้นกับเขา เขาเป็นผู้ชายในฝันของหญิงสาวมากมาย ด้วยรูปร่างหน้าตา ฐานะ ชาติตระกูล และการศึกษา แต่สำหรับฉันแล้วไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรเลย และความที่เขาเป็นคนขี้หึงมาก ๆ และฉันซึ่งเป็นคนที่ไม่ยอมคน ฉันจึงทนความขี้หึงเขาไม่ไหว ฉันเลยถอนหมั้น โดยที่ฉันไม่ได้รู้สึกเสียดายในตัวเขา กลับรู้สึกโล่งอกด้วยซ้ำไป ที่ได้ถอนหมั้นกับเขาได้

และแล้ว กามเทพก็ได้เล่นตลกกับชีวิตของฉัน เมื่อเย็นวันหนึ่ง เพื่อนโทรมาคุยชวนไปทานข้าวเย็นที่บ้านเขา หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ เพื่อนชวนฉันเข้ามาเล่นอินเทอร์เน็ต นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเข้ามาแช๊ทกับคนไทย เป็นครั้งแรกที่รู้สึกประทับใจมาก เพราะเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่คุยด้วยน่ารักมาก เราแลกเปลี่ยนอีเมล์ซึ่งกันและกัน ซึ่งมีพี่ฟางพี่สาวที่แสนดีแนะนำเพื่อน ๆ ให้รู้จัก หลังจากวันนั้น ฉันมักหาเวลาเข้ามาคุยกับพวกพี่ ๆ เขาตลอด หลังจากคุยกันได้ไม่นาน พี่ ๆ แนะนำ ห้องแช๊ทอีกห้องหนึ่งให้รู้จัก และที่นี่เองคือที่ซึ่งแม่สาวเปรี้ยวอย่างฉัน ตกหลุมรักครั้งแรกกับหนุ่มไทยคนหนึ่ง ทุก ๆ อย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนฉันไม่คาดคิด และทำเอาคนรอบข้างช๊อคไปตาม ๆ กัน

แรก ๆ ที่ฉันคุยกับเขา ฉันไม่ได้สนใจเขาเลย ได้ยินแต่กิตติศัพท์ว่า เขาเป็นจอมกวนประจำห้องนี้ มานานแล้ว พอฉันเข้ามาเขาก็ทักสวัสดี ฉันสวัสดีตอบ และก็ไม่สนใจที่จะคุยกับเขาอีกเลย จนมีพี่ ๆ เขาท้าฉันว่า ถ้าทำให้เขามาสยบที่ฉันได้
เหมือนกับที่ฉันเคยทำกับคนอื่น ๆ ได้ เราพนันกันด้วยการพาไปเลี้ยงอาหารหนึ่งโต๊ะใหญ่ ฉันรับคำท้าทันที เขาเป็นคนไทยที่เกิดที่ชิคาโก้และทำงานอยู่ที่นั่น ส่วนฉันอยู่สวิสเซอรแลนด์ เวลาของประเทศสวิสเร็วกว่าที่ชิคาโก้ 7 ชั่วโมง มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะได้มาออนไลน์เวลาเดียวกัน
แต่แล้ววันหนึ่ง เราก็ได้บังเอิญมาเจอกันอีกครั้ง เราได้คุยกันมากกว่าคำว่าสวัสดีเป็นครั้งแรก และฉัน ก็ได้ถามเขาจนได้รู้ว่า เขาจะออนไลน์ในช่วงไหน ฉันเริ่มแผนการณ์ทันที ก็รับคำท้าพวกพี่เขาไปแล้วนี่ ทำงัยได้

แรก ๆ ที่คุยกันฉันไม่ชอบเขาเอาซะเลย เพราะไม่เคยมีผู้ชายคนไหน มาพูดจากวนประสาทฉัน ได้มากเท่าเขามาก่อน ฉันเองพูดกวนเขากลับ
จนเขาอึ่งไปก็หลายหน คู่เราเลยกลายเป็นคู่กัดประจำห้องแช๊ทนี้ไปเลย พอถึงเวลา ที่เราทั้งสองออนไลน์ จะมีพี่ ๆ เพื่อน ๆ เข้ามาช่วยเชียร์ เป็นที่สนุกสนานของห้องไปเลยล่ะ จนอยู่มาวันหนึ่ง ฉันหายไป ไม่ได้เข้ามาที่ห้องนี้สองวัน พอเจอเขา ฉันถามเขาว่าคิดถึงฉันบ้างไหม เขาไม่ยอมตอบในห้อง ได้แต่บอกว่าแล้วจะเมล์ไปบอก ฉันเลยลาทุก ๆ คนไปนอนเพราะดึกมากแล้ว
ตื่นเช้ามาฉันเปิดเช็คเมล์ เขาเขียนมาบอกว่า ''คิดถึงสิครับ'' เมล์ทั้งฉบับเขียนแค่นั้นจริง ๆ ฉันเลยตอบกลับ ไปว่า ''เช่นกันค่ะ'' แล้วฉันได้หลอกล่อให้เขาบอก คิดถึงฉัน ในห้องแช๊ทจนได้ ซึ่งปกติเขาอาจจะเป็นคนที่ดูกวน ๆ แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนขี้อาย เขาดูเหมือนจะเก่งในด้านพูดกวนประสาทสาว ๆ ในห้อง แต่ว่าเขาไม่เคยจีบใครในห้องเลย วันที่เขาบอกคิดถึง นั่นคือวันแรกที่ฉันรู้สึกแปลก ๆ กับผู้ชายคนนี้ และหลังจากนั้น เราเริ่มโทรศัพท์หากันทุก ๆ วัน เขาเป็นชายไทยคนแรกที่ทำให้ฉันรู้สึก อยากเรียนรู้ ู้และอยากทำความรู้จักให้มากกว่านี้

เหมือนพระเจ้าจะเข้าข้างฉัน พี่ ๆ เจ้าของห้องแช๊ทนี้ ก็ได้จัดงานพบปะสังสรรค์กันขึ้น ซึ่งตรงกับเวลาที่ฉันจะต้องบินไปเรื่องงาน ที่เมืองไทยพอดี ฉันเลยรับปากพวกพี่ ๆ ว่าจะไปร่วมงานด้วย ฉันเลยแกล้งชวนเขาเล่น ๆ ให้มางานด้วย ที่ว่าชวนเล่น ๆ เพราะรู้ว่าเขาคงจะมาไม่ได้ เนื่องมาจากเขาเพิ่งกลับมาจากเที่ยวเมืองไทยได้ไม่นาน และวันลาของเขาก็หมดแล้วด้วย แต่เขาตอบฉันกลับมาว่า จะลองไปคุยกับ Boss ดู นั่นทำให้ฉันปลื้มเขามาก วันรุ่งขึ้นเขาก็โทรมาบอกว่า Boss ไม่อนุมัติ เนื่องจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นได้ขอลาหยุดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว จึงไม่สามารถจะให้เขาลาหยุดได้ แต่เขาบอกฉันว่าพรุ่งนี้เขาจะลองเข้าไปขออีกครั้ง และในวันรุ่งขึ้นเขาก็เมล์มาบอกฉันว่า See you soon in Thailand อ่านเมล์จบ ฉันดีใจมากๆๆ ฉันจึงเริ่มต้นนับเวลาถอยหลัง
นั่งนอนนับวันที่เราจะได้พบหน้ากัน

ฉันมาถึงเมืองไทยก่อนหน้าเขาหนึ่งวัน ฉันไปรอรับเขาที่สนามบินกับน้องชาย รู้สึกปกติและไม่ตื่นเต้นอะไร ระหว่างที่รอเขาออกมา แต่พอเห็นเป็นเขาเดินออกมาแค่นั้นแหล่ะ ฉันรู้แล้วว่าใช่คนนี้ จึงวิ่งไปรอที่รถ ให้น้องชายเดินไปรับเขาแทน จากที่เป็นคนเก่งมาตลอด กลับต้องมานั่งใจเต้นรอเขาในรถ เขาดูดีกว่าในรูปอีกแฮะ ตลอดระยะเวลาห้าวัน ที่เขาลางานมา เพื่อที่จะมาหาฉัน มันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน

แล้วก็มาถึงวันสุดท้าย ที่เขาจะต้องเดินทางกลับ ฉันบอกกับตัวเองว่า คืนนี้ฉันจะไม่ไปส่งเขาหรอก ให้น้องชายไปส่งแทน แต่เขาก็อ้อน ๆ ๆ ๆ เหลือเกิน จนฉันใจอ่อนและไปส่งเขาที่สนามบิน ที่ไม่อยากไปส่งเพราะกลัวว่า สาวแกร่งอย่างเรา จะไปร้องไห้ที่สนามบินน่ะสิ แหมม... ก็ตลอด 5 วันที่เราอยู่ด้วยกัน เราแทบจะไม่ห่างกันเลย ฉันซึมซับผู้ชายคนนี้เข้ามามากมายในหัวใจฉัน แบบที่ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้ ให้กับผู้ชายคนไหนมาก่อน วันสุดท้ายเขามอบแหวนให้ฉันสองวง มันคือทองเกลี้ยงหนึ่งวง และแหวนรุ่นจากโรงเรียนสวนกุหลาบ ที่เขาเรียนจบมาอีกหนึ่งวง ประวัติของแหวนรุ่นวงนี้มีอยู่ว่า ก่อนที่เขาจะเรียนจบเขาได้สั่งทำแหวนรุ่นไว้สองวง วงแรกเป็นวงที่มีนามสกุลของเขาสลักอยู่ ซึ่งเป็นวงที่เขาสวมติดตัวอยู่ตลอดเวลา ส่วนวงที่เขาให้ฉัน เขาสลักคำว่า "ให้เธอ" เอาไว้ เขาบอกกับฉันว่าตอนที่เขาสั่งทำแหวนวงนี้นั้น ่เขาตั้งใจจะมอบแหวนวงนี้ ให้กับใครสักคน ที่เขารักและเลือกที่จะร่วมชีวิตด้วย เขาเก็บแหวนวงนี้ไว้นานถึงสิบปี เพื่อที่จะรอคอยใครสักคนที่เหมาะสม และฉันก็คือผู้โชคดีคนนั้น ที่ได้แหวนวงนี้จากเขา มันเป็นแหวนที่มีค่าทางจิตใจ กับฉันมากกว่า บรรดาแหวนมีค่ามากมายที่ฉันมี

แล้วเวลาที่เราต้องจากกันก็มาถึง เขาจะต้องเดินเข้าไปขึ้นเครื่องข้างในแล้ว ฉันบอกกับเขาว่าขอฉันบินกลับไปเคลียร์งานที่สวิสก่อน แล้วจะบินไปหาเขาที่ชิคาโก้ พร้อมกับสัญญากับเขาว่า แม้กายจะไม่ได้ไปอยู่เคียงใกล้ แต่ใจดวงนี้จะไม่ให้ใครมาแทนที่ แล้วเขาก็ลาฉันแล้วหันหลังเดินจากไป ฉันเพิ่งเข้าใจคำว่าโดนกระชากใจก็วันนี้เอง

ฉันต้องอยู่เมืองไทยอีก 10 วันเรื่องงาน แล้วฉันก็บินกลับมาสวิส กลับมาถึงมีงานมากมายรอให้เคลียร์ ฉันรีบเคลียร์งานมากมายจนเสร็จ และบุ๊คตั๋วไปชิคาโก้ทันที กะว่าจะไปเที่ยวสักสองอาทิตย์ และแล้วก็เกิดเรื่อง เมื่อคุณแม่ทราบว่าฉันได้ติดต่อกับหนุ่มไทย และกำลังจะบินไปหาเขาที่ชิคาโก้ ท่านโกรธมาก ท่านคิดเสมอว่า คู่หมั้นของฉันที่ท่านเลือกให้นั้นเหมาะสมกับฉันที่สุดแล้ว เมื่อฉันยืนยันกับท่านว่า ฉันจะไม่แต่งงานกับคู่หมั้นของฉัน ท่านพยายามขัดขวางฉันทุกวิถีทาง เพื่อที่จะไม่ให้ฉันไปชิคาโก้ แต่ฉันก็ไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น ฟังแต่เสียงของหัวใจตัวเองเท่านั้น คือไม่ว่าจะอย่าง ไรก็จะต้องไปให้ได้ อย่างที่ฉันได้บอกกับเขาไว้

เดิมทีฉันตั้งใจว่าจะไปเที่ยวแค่สองอาทิตย์แค่เท่านั้น แต่เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ฉันจึงเปลี่ยนใจและตั้งใจว่า จะไปอยู่ที่ชิคาโก้กับเขาเสียเลย อยู่กับผู้ชายที่ฉันรู้จักแค่สี่เดือน และใช้เวลาอยู่ร่วมกันที่เมืองไทยแค่ห้าวัน ฉันรู้สึกได้ว่ากับผู้ชายคนนี้ ฉันคงคิดไม่ผิดที่จะวางชีวิตทั้งชีวิตของฉัน ลงในมือของเขา แล้ววันเดินทางไปชิคาโก้ก็มาถึง ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก คิดไปสารพัด เราต้องไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทุก ๆ อย่างแปลกใหม่ไปหมด จะเป็นอย่างไรบ้างน๊า ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า เอาเถอะน่าไหน ๆ ก็ตัดสินใจมาแล้วนี่ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เมื่อฉันมาถึงชิคาโก้ ฉันไม่รู้สึกเสียใจเลย ที่ตัดสินใจมอบชีวิตของฉัน ให้กับผู้ชายคนนี้

ชีวิตใหม่ในชิคาโก้ มีเหงาบ้างและต้องปรับตัวในทุก ๆ ด้าน แต่ฉันก็มีความสุขที่ได้อยู่กับเขา ครอบครัวของเขาต้อนรับฉันและให้ความอบอุ่นกับฉันดีมากทุก ๆ คน เลยทำให้ฉันไม่รู้สึกคิดถึงบ้านมากนัก แต่คุณพ่อของฉันท่านโทรข้ามประเทศมาหาฉันทุกวันด้วยความเป็นห่วง ฉันไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันกับครอบครัวของเขา เราแยกมาอยู่อพาร์ทเมนต์กันสองคน เขาไปทำงานแต่เช้าทุกวัน ฉันเปลี่ยนจากแม่สาวเปรี้ยว มาเป็นแม่บ้านเต็มตัว ฉันทำงานบ้านเองทุกอย่าง รวมทั้งทำอาหาร ซึ่งฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตฉันต้องมาทำอะไรแบบนี้ ฉันได้มาเรียนรู้ว่า การที่ได้ทำอะไร ให้คนที่เรารัก มันคือความสุขอีกรูปแบบหนึ่ง ฉันเริ่มสนุกกับการทำงานบ้าน มีความสุขกับชีวิตเรียบง่ายกับคนที่ฉันรัก

หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันได้รับได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากสวิสว่า คุณแม่ป่วยเข้าโรงพยาบาล เป็นเนื้องอกในสมอง ฉันรีบบินกลับสวิสทันทีที่รู้ข่าว เพราะหลังจากที่ฉันจากบ้านมา แม่บ้านของฉันบอกว่า สุขภาพท่านแย่ลงทันตาเห็น ฉันเลยรู้สึกผิดมาก ๆ ที่ทำร้ายจิตใจท่าน และการผ่าตัดเนื้องอกในสมองก็ผ่านไปด้วยด้วยดี ท่านปลอดภัย และอาการดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ตัวฉันเองกลับอาการแย่ลงทุกวัน คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว อยากจะทานอะไรแปลก ฉันจึงไปตรวจร่างกาย ปรากฎว่าฉันกำลังจะเป็นแม่คน ฉันรู้สึกดีใจมาก รีบโทรไปบอกพ่อของลูกที่ชิคาโก้เป็นคนแรก เราทั้งสองดีใจกันมาก ฉันเริ่มบอกคนในครอบครัวของฉัน เขาก็บอกคนในครอบครัวเขาเช่นกัน ทั้งสองครอบครัวเห่อหลานกันมาก ถึงขนาดเริ่มตั้งชื่อหลานกันแล้ว

คุณแม่ของฉัน จากที่ไม่ยอมรับเขาเป็นเขย ก็เริ่มใจอ่อน ชีวิตฉันในตอนนี้ฉันมีความสุขมาก ๆ ทุกอย่างกำลังจะผ่านไปได้ด้วยดี ฉันกำลังจะเป็นคุณแม่ ส่วนเขาก็เห่อลูกมากเช่นกัน เราจะตั้งชื่อเล่นให้ลูกเราว่า น้องเน็ต เพราะเราพบรักกันทางเน็ต

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่ามีรักแท้เกิดขึ้นได้ทางอินเตอร์เน็ต ฉันไม่รู้ว่า ฉันจะต้องขอบคุณอะไรดี ที่ทำให้ฉันมาพบกับเขาคนนี้ ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งซึ่งมีใจรักและความอบอุ่นให้ฉันเสมอมา ฉันคิดว่าฉันโชคดีมากที่ได้มาพบเขาคนนี้ แม้ว่าเราจะอยู่กันคนละทวีป แต่คงเป็นเพราะพรหมลิขิต ที่ทำให้เราได้มาพบกันและได้รักกัน

ขอบคุณสวรรค์ที่นำพาให้เราทั้งสองมาพบกัน

No comments: