Sunday, October 6, 2013

การตัดสินคน



การตัดสินคน...##

@@ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี จำเป็นต้องรอเวลาถึง 3 ชั่วโมง ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทางเธอตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1เล่ม และคุกกี้ 1 ห่อ และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกิน ฆ่าเวลาไปพลางๆ

เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุกกี้ เพื่ออ่านและกินไปพลางๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้างๆเธอมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใครว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้างๆเขาหรือไม่

สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุกกี้ออกจากถุง ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันทีละชิ้น เธอมองด้วยความโกรธแต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุกกี้และเฝ้ามองนาฬิกา ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า

"ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการ ศึกษาแล้วละก็....ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย"ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น ทั้งสองส่งสายตามองกันเมื่อคุกกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำยังไงต่อ

ชายหนุ่มค่อยๆ หยิบคุกกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็น 2 ชิ้น ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น
เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า "เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดๆ ช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ"
เธอลุกขึ้น หยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง

ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามอง หัวขโมยผู้ไร้มารยาท ซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบายแล้ว เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง

ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่ออยู่ในกระเป๋าของเธอ เธอตกใจมาก ถ้าคุ๊กกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า.... คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง..........

***มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า
"สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด มีกี่ครั้งในชีวิต ที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น
และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย"

.........นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ก่อนตัดสินผู้อื่น  หลายๆ สิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี แล้วคอยสงสัยตัวเองว่า
"เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง? เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่".........

Wednesday, August 28, 2013

ชีวิตของนกอินทรีย์




ชีวิตของ.."นกอินทรีย์"

นกอินทรีย์เป็นสัตว์ปีกที่มีอายุยาวนานที่สุดในโลก มันมีอายุยาวนานถึง70ปี เมื่อเราเอ่ยถึงมันก็คงต้องนึกถึงปีกอันสง่างาม และกรงเล็บที่ทรงพลัง แต่จะมีใครรู้หรือไม่ว่ามันมีช่วงชีวิตที่เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงของมันด้วย
นกอินทรีย์พออายุ40ปีปากของมันจะงองุ้มจะจิกจะกินอะไรก็ทำได้ยาก เล็บมันจะยาวและโค้งงอมันจะจับสัตว์กินเป็นอาหารเหมือนเดิมมันก็ไม่อาจจะสามารถทำได้งง่าย และปีกที่งามของมันก็จะเกิดขนปกคลุมจนหนาและหนักทำให้มันบินแต่ล่ะครั้งต้องทำด้วยความยากลำบาก ช่วงเวลานี้กินเวลายาวนานถึง150วัน หรือประมาณ5เดือนกว่า พอมาถึงช่วงนี้มันมีทางเลือก2ทางในชีวิตคือหนึ่งฆ่าตัวตายเสีย กับทางเลือกที่สองคือต้องอดทนและต้องผ่านบททดสอบนี้ไปให้ได้ เมื่อมันเลือกทางเลือกที่หนึ่งมันก็สามารถทำได้ด้วยการเอากรงเล็บปาดคอตัวเองจบชีวิตมันลงหรือไม่ก็ทรมานตายไปเอง...แต่ถ้ามันเลือกทางเลือกที่สองมันต้องบินขึ้นสู่ภูเขาหินสูง และเคาะปากมันกับหินเป็นร้อยเป็นพันครั้งเพื่อให้จงอยปากของมันหลุดออกมา หลังจากนั้นมันจะต้องรอให้จงอยปากอันใหม่งอกขึ้นมา จากนั้นมันต้องเคาะเล็บตนเองที่งองุ้มกับพื้นหินที่แข็งๆให้เล็บหลุดออกมาทีละเล็บจนหลุดออกจนหมด มันต้องจิกขนที่หนาเตอะตรงอกตรงปีกออกทีละชิ้นทีละชิ้นจนขนที่หนาเตอะเหล่านั้นหมดไป แน่นอนกระบวนการเหล่านี้ต้องกินเวลานาน และเจ็บปวดทุกข์ทรมานแสนสาหัสสากรรจ์ กระบวนการจะเริ่มอย่างช้าๆและสิ้นสุดลงเมื่อครบ150วัน
เมื่อมันผ่านไปได้รางวัลของมันคือ ปากที่จะงอกออกมาใหม่สวยงามกว่าเดิม เล็บที่จะงอกออกมาใหม่เล็บแหลมคมและงออย่างสวยงามเหมาะแก่การล่าสัตว์หาอาหารและเหมาะแก่การดำรงชีวิต และของขวัญล้ำค่าอีกอย่างคือชีวิตที่จะมีต่อไปได้อีก30ปี เป็นชีวิตที่จะมี30ปีที่สง่างามและมีเกียรติ์ มันจะบินขึ้นบนท้องฟ้าอีกครั้งด้วยปีกที่ทรงพลังกว่าเดิม แต่ถ้าหากว่ามันไม่ผ่านบททดสอบมันไม่ยอมทนทุกข์ไม่ยอมเจ็บทนเอาปากออก ไม่ยอมเจ็บเพื่อจะเอาเล็บตนเองออก และไม่ยอมอดทนที่จะจิกเอาขนที่มีจำนวนมากมายและหนาเตอะออกเมื่อผ่าน150วันมันจะต้องตายในที่สุด...มีนกอินทรีย์หลายตัวมากที่ผ่านบททดสอบ และก็มีจำนวนมหาศาลมากเช่นกันที่ตายในบททดสอบ150นี้
มนุษย์เราเมื่อเกิดมาแล้วเราก็ต้องมีทั้งสุขและทุกข์ เมื่อเราเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องเจ็บปวดเราต้องอดทนจนถึงที่สุด เพราะเรารู้ว่าเมื่อเราผ่านมันไปได้ชีวิตเราย่อมมีสิ่งที่ดีรอเราข้างหน้าเมื่อผ่านไปได้แน่นอน ถ้ามีหลายครั้งที่เราเจ็บเหลือเกิน เราร้องไห้ เราล้มลงทั้งยืน ให้เราอย่าหมดหวังในชีวิต จงลุกขึ้นสู้อุปสรรคนั้น อย่าคิดทิ้งบททดสอบเหมือนนกอินทรีย์บางตัวที่ไม่ยอมทนเจ็บ ไม่ยอมทนทรมานเพียงชั่วคราว ช่วงเวลาแห่งความทุกข์มีกันทุกคน แต่มันไม่ได้มีตลอดนิรันดร์ เมื่อเราผ่านมันก็จะหายไปเองเหลือทิ้งไว้แต่ความเข้มแข็งของเราที่มีมากกว่าเดิม อุปสรรคไม่เคยฆ่าใครตาย อุปสรรคเป็นกำแพงที่มีเพื่อให้เราข้ามเพื่อที่เราจะเติบโต เพื่อที่เราจะแข็งแกร่งขึ้น เพื่อที่เราจะงดงามขึ้น จงเป็นดั่งนกอินทรีย์ที่มีชีวิตต่อไปได้อีก30ปีนั้นเถิด...

มนุษย์เราเมื่อเกิดมาแล้วเราก็ต้องมีทั้งสุขและทุกข์ เมื่อเราเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องเจ็บปวดเราต้องอดทนจนถึงที่สุด เพราะเรารู้ว่าเมื่อเราผ่านมันไปได้ชีวิตเราย่อมมีสิ่งที่ดีรอเราข้างหน้าเมื่อผ่านไปได้แน่นอน ถ้ามีหลายครั้งที่เราเจ็บเหลือเกิน เราร้องไห้ เราล้มลงทั้งยืน ให้เราอย่าหมดหวังในชีวิต จงลุกขึ้นสู้อุปสรรคนั้น อย่าคิดทิ้งบททดสอบเหมือนนกอินทรีย์บางตัวที่ไม่ยอมทนเจ็บ ไม่ยอมทนทรมานเพียงชั่วคราว ช่วงเวลาแห่งความทุกข์มีกันทุกคน แต่มันไม่ได้มีตลอดนิรันดร์ เมื่อเราผ่านมันก็จะหายไปเองเหลือทิ้งไว้แต่ความเข้มแข็งของเราที่มีมากกว่าเดิม อุปสรรคไม่เคยฆ่าใครตาย อุปสรรคเป็นกำแพงที่มีเพื่อให้เราข้ามเพื่อที่เราจะเติบโต เพื่อที่เราจะแข็งแกร่งขึ้น เพื่อที่เราจะงดงามขึ้น จงเป็นดั่งนกอินทรีย์ที่มีชีวิตต่อไปได้อีก30ปีนั้นเถิด...

Saturday, August 24, 2013

การประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพด



ครั้งหนึ่งในอเมริกากลาง
ทุก ๆ ปีจะมีการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพด
หลังจากการประกวดชายผู้ที่ชนะเลิศที่หนึ่ง
เขาทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง นั่นคือ ...

ทันทีที่เขาชนะ

เขาได้นำเมล็ดพันธ์ที่เพิ่งชนะการประกวด
แจกให้กับผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันและกล่าวว่า
เอาเมล็ดพันธ์นี้ไปปลูกน่ะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่

ในปีต่อมา ...
เขาก็ชนะการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพดอีก
เขาเดินแจกเมล็ดพันธ์ที่เขาเพิ่งชนะให้กับคนอื่น ๆ
แล้วบอกว่า ...
เอาไปปลูกน่ะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่

ชายผู้นี้ชนะการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพด
ติดต่อกัน 6 ครั้ง และเขาก็แจกเมล็ดพันธ์ที่ชนะ
ให้ผู้แข่งขันคนอื่น ๆ ทุกปี

มีนักข่าวถามเขาว่า ...
ไม่เป็นการง่ายกว่าหรือ ถ้าเขาเก็บเมล็ดพันธ์ที่ดี
โดยไม่แบ่งคนอื่น เขาก็จะได้ชนะง่าย ๆทุกปี

เขาตอบว่า ... แสดงว่า ...
คุณไม่เข้าใจในการปลูกพืช คุณเคยได้ยินคำว่า ...
การกลายพันธ์ไหม ถ้าไร่ของผมมีเมล็ดพันธ์ที่ดี
บังเอิญไร่ของเพื่อนบ้านมีแต่เมล็ดพันธ์ที่แย่ ๆ

วันหนึ่ง ลมก็จะพัดเอาเกสรของเมล็ดพันธ์ที่แย่ ๆ
มาตกในไร่ของผม ทำให้เมล็ดพันธ์ผมแย่ไปด้วย

มันไม่เป็นการดีหรอกหรือ ...
ที่ทุกคนมีเมล็ดพันธ์ที่ดีแล้ว ...
ถึงตอนนั้นมาแข่งกันว่า ...
ใครขยัน รดนำพรวนดินดีกว่ากัน

มีคำกล่าวว่า ...
ถ้าคุณมีเมล็ดพันธ์ความคิดที่ดี คุณเก็บไว้กับตัว
ไม่แบ่งปันใคร ถึงวันหนึ่งเมล็ดพันธ์แห่งความคิดนั้น
ก็จะตายไปพร้อมคุณ

เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต ที่ความคิดและความรู้
ยิ่งให้ออกไป เรายิ่งได้รับกลับมา
และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คน ๆ นั้น

ประสบความสำเร็จที่มากขึ้นไปพร้อม ๆ กับ

การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม

Tuesday, August 20, 2013

ปล้นธนาคารที่กวงซู



วิชา ความรู้ ประสบการณ์ และโอกาส  เรียนรู้จากการปล้นธนาคารที่ กวงซู ที่ทั้งฮาและมีสาระครับ
 
1. โจรตะโกนคำแรกเมื่อชักปืนออกมาว่า
"ทุกคนอย่าขยับ เงินเป็นของรัฐ แต่ชีวิตเป็นของคุณ"
ทุกคนนอนอย่างสงบบนพื้น ไม่มีใครเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อปกป้องเงินของรัฐ
เราเรียกสิ่งนี้ว่า "เทคนิคการเปลี่ยนแนวคิด" บิดเบือนนิดเดียวความคิดเราก็เปลี่ยนไปไกลแล้ว
 
2.ผู้หญิงคนนึงนอนอยู่บนโต๊ะและกำลังจะกรี๊ด ทันใดนั้นโจรตะโกนใส่ผู้หญิงว่า "เรามีวัฒนธรรม ผมมาปล้นแบ๊งค์ ไม่ได้มาข่มขืนคุณ!!"
เราเรียกสิ่งนี้ว่า "การเป็นมืออาชีพ" ตั้งมั่นในเป้าหมายอย่างเดียวไม่ว่อกแว่ก
 
3. เมื่อโจรกลับถึงฐานลับ โจรวัยรุ่นที่จบการศึกษาระดับปริญญาโท MBA บอกกับรุ่นพี่โจรว่า "เรามานับเงินกันดีกว่า ว่าได้มาเท่าไหร่" แต่รุ่นพี่โจรที่จบเพียงชั้นประถมกล่าวว่า "แกนี่มันโง่มากเลย เงินตั้งเยอะตั้งแยะ จะนับยังไง คืนนี้ทีวีจะบอกเองแหล่ะว่า เราได้มาเท่าไหร่!!"
เราเรียกสิ่งนี้ว่า "ประสบการณ์" ซึ่งในปัจจุบันประสบการณ์มีค่ามากกว่าใบปริญญามากมายนัก
 
4. เมื่อโจรกลับไปแล้ว รองผู้จัดการจะโทรหาตำรวจที่เบอร์ 191 แต่ผู้จัดการธนาคารกลับค้านว่า "เดี๋ยวๆๆ ใจเย็นๆ โจรเอาเงินไปเท่าไหร่ เรามานับกันก่อน แล้วบอกตำรวจว่าโจรเอาไปมากกว่านั้น"
เราเรียกสิ่งนี้่ว่า "กินตามน้ำ"
 
5. ผู้จัดการเปรยว่า "นั่นสิ จริงๆแล้วถ้ามีโจรมาปล้นธนาคารทุกเดือนก็ดีสินะ"
เราเรียกสิ่งนี้่ว่า "การเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส"
 
6. วันถัดมา ทีวีทุกช่องออกข่าวกันว่า มีโจรปล้นธนาคาร 100 ล้านบาท แต่ว่าโจรที่ปล้นไปนับแล้วนับอีก ไม่ว่าจะนับกี่รอบ ก็นับได้แค่ 20 ล้านบาทเท่านั้น โจรโกรธมากแล้วพูดว่า "เราเสี่ยงตายและปล้นธนาคารออกมาได้แค่ 20 ล้านบาท แต่เจ้าผู้จัดการธนาคารแค่มันหัวไวนิดเดียว มันทำเงินได้ถึง 80 ล้านบาท การศึกษามีดีอย่างนี้นี่เอง"
เราเรียกสิ่งนี้ว่า "ความรู้มีค่ามากกว่าทองคำ"
 
7. ผู้จัดการธนาคารยิ้มอย่างเริงร่า เพราะว่าอยู่ดีๆเขาก็มีเงินเพิ่มขึ้นถึง 80 ล้านบาท จากการที่มีโจรมาปล้นธนาคารเขา
เราเรียกสิ่งนี้ว่า "โคตรโกง" โจรเสื้อนอกร้ายกาจกว่าโจรปล้นแบ้งค์ยิ่งนัก

Monday, August 19, 2013

ก้อนหินก้อนใหญ่



วันหนึ่งเณรน้อยเจ้าปัญญา มาหาพระอาจารย์ ....“พระอาจารย์ คุณค่าในตัวของข้าคืออะไร ”

พระอาจารย์ “ไปสวนหลังบ้านเก็บก้อนหินก้อนใหญ่มา 1 ก้อน เอาไปวางขายที่ตลาด ถ้ามีคนถามราคา ไม่ตอบ แค่ชู 2 นิ้ว ถ้าเขาต่อรอง อย่าขาย เอากลับมา อาจารย์จะบอกเองว่า คุณค่าในตัวของเจ้าคืออะไร”

วันรุ่งขึ้น เณรน้อยอุ้มหินไปวางขายที่ตลาด คนจ่ายตลาดเดินผ่านไปผ่านมา ต่างแปลกใจ มีแม่บ้านเดินมาถาม “ก้อนหินขายเท่าไหร ?”

เณรน้อยชู 2 นิ้ว
“2 เหรียญ”
เณรน้อยสั่นหัว

“งั้นก็ 20 ก็ได้ จะได้เอาไปทับผักกาดดอง”

เณรน้อยคิดในใจ “แม่เจ้าโว๊ย หินไร้ค่านี้ขายได้ตั้ง 20 เหรียญ บนเขาวัดข้ามีเยอะแยะเณรน้อยก็ไม่ขายตามที่พระอาจารย์บอก ไปพบพระอาจารย์ด้วยความดีใจ

“อาจารย์ วันนี้มีแม่บ้านคนหนึ่งให้ราคา 20 เหรียญจะซื้อหินของข้า อาจารย์บอกได้หรือยังว่า คุณค่าในตัวของข้าคืออะไร”

อาจารย์ “ไม่ต้องรีบ พรุ่งนี้ เอาไปวางไว้ในพิพิธภัณฑ์ ถ้ามีคนถามราคา ไม่ตอบพูด แค่ชู 2 นิ้ว ถ้าเขาต่อรอง อย่าขาย เอากลับมา แล้วมาคุยกันใหม่”

วันต่อมา ใน พิพิธภัณฑ์ มีจีนมุงล้อมวง คุยกันเองว่า “หินธรรมดาก้อนหนึ่ง มีค่าอะไรมาวางไว้ในพิพิธภัณฑ์” มาวางไว้ในพิพิธภัณฑ์ได้ มันก็ต้องมีคุณค่าของมัน แต่เราอาจจะไม่รู้ตอนนี้ มีคนโผล่มา ตะโกนถามเณรน้อยว่า “เณรน้อย หินก้อนนี้เท่าไหร่ขาย ”

เณรน้อยชู 2 นิ้ว

“200 เหรียญ”

เณรน้อยสั่นหัว

“งั้นก็ 2000 แล้วกัน กำลังหาหินไปแกะสลักพระพุทธรูป”

เณรน้อยตกใจ มากกว่าเมื่อวานอีก ก็ไม่ขายตามที่พระอาจารย์บอก ไปพบพระอาจารย์ด้วยความดีใจ

“อาจารย์ วันนี้มีคนให้ราคา 2000 เหรียญจะซื้อหินของข้า วันนี้อาจารย์ต้องบอกข้าแล้วนะว่า คุณค่าในตัวของข้าคืออะไร”

อาจารย์หัวเราะชอบใจ “พรุ่งนี้เอาไปที่ร้านขายวัตถุโบราณ เหมือนเดิม แล้วเอากลับมา ครั้งนี้ อาจารย์บอกคำตอบเธอแน่ ๆ “

วันต่อมา เณรน้อยเอาหินไปที่ร้านขายวัตถุโบราณ ก็ยังมีคนมามุงดู มีคนพูดว่า นี่มันหินอะไรว่ะ มาจากถิ่นไหน ของราชวงศ์ไหน ใช้ทำอะไร
สุดท้ายมีคนมาถามราคา “ เณรน้อย หินก้อนนี้เท่าไหร่ขาย ?”

เณรน้อยชู 2 นิ้ว

“20,000 เหรียญ”

เณรน้อยตกใจอ้าปากค้าง อุทานเสียงดัง “หา” คนนั้นนึกว่าตัวเองให้ราคาต่ำไป ทำให้เณรน้อยรมณ์เสีย แก้ไขทันทีว่า “ไม่ ๆ ๆ ข้าพูดผิดแล้ว ข้าจะให้เจ้า 200,000”

เณรน้อยได้ยินดังนั้น อุ้มหินวิ่งหนีกลับไปบนเขาหาพระอาจารย์ทันที พูดกับอาจารย์แบบกระหือกระหอบว่า “อาจารย์ครั้งนี้เรารวยแล้ว มีโยมจะให้ราคาเรา 2 แสนเพื่อซื้อหินก้อนนี้ อาจารย์บอกได้หรือยังว่า คุณค่าในตัวของข้าคืออะไรกันแน่ ?”

อาจารย์ลูบหัวเณรน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดูว่า

“เจ้าหนูน้อย คุณค่าในตัวเจ้าก็เหมือนหินก้อนนี้ ถ้าวางตัวเองในตลาดสด เจ้าก็มีค่า 20 ถ้าเอาตัวเจ้าไปวางไว้ในพิพิธภัณฑ์ เจ้าก็มีค่า 2000 ถ้าไปอยู่ในร้านขายวัตถุโบราณ เจ้าก็มีค่า 2 แสน เวทีชีวิตต่างกัน ตำแหน่งวางตัวต่างกัน คุณค่าของคนก็เปลี่ยนไป”