Friday, November 28, 2008

รักคือฉันใด

รักคือ......

การที่เรารักใครสักคนอาจไม่ต้องการเหตุผล
การที่เรารักใครสักคนอาจไม่สนว่าเขาเป็นใคร
การที่เรารักใครสักคนอาจไม่แน่ว่าเขาจะรักตอบ
การรักใครสักคนอาจไม่แน่ว่าเราจะสมหวัง
การรักใครสักคนอาจไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
การรักใครสักคนไม่ได้หมายว่าเธอจะแต่งงานกับเรา
การรักใครสักคนไม่ได้หมายว่าเราทั้งคู่จะเหมือนหรือแตกต่างกัน

การรักใครสักคนอาจไม่จำเป็นต้องอธิบายเป็นภาษา
การักใครสักคนอาจจะทำให้เราเสียใจและผิดหวัง
การรักใครสักคนอาจจะทำให้เราเสียน้ำตา
การรักใครสักคนไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่ใกล้กัน
การรักใครสักคนไม่ได้หมายถึงการครอบครองเป็นเจ้าของ
การรักใครสักคนไม่ได้หมายความว่าเราต้องคิดเหมือนกัน ชีวิตมันสั้น
การที่เรารักใครไม่จำเป็นต้องไปหวังให้มันเป็นไปดังใจต้องการ

เพราะเราทั้งคู่ต่างก็มาจากที่แตกต่างและครอบครัวที่ต่างกัน
แต่เมื่อได้มาพบกันก็น่าจะเข้าใจกันและยินดีในความสุขของกันและกัน
คำว่ารักคืออะไร อาจเป็นได้ทั้งสุขและทุกข์
อาจเป็นได้ทั้งดีใจและเสียใจ
อาจเป็นได้ทั้งความหวังและการทำลาย
แต่ขอให้คุณเชื่อในสิ่งที่คุณทำแค่นั้นก็พอ
เพราะนั้นเป็นหนทางที่คุณเลือกเอง
จงยินดีในสิ่งที่เลือกและหวังดีกว่า
เพราะอย่างน้อยชีวิตของคุณก็ยังได้ก้าวเดินไป
เพราะเวลาไม่คอยใครและก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดจะรอคุณอยู่ข้างหน้า
แต่อย่างน้อยคุณก็ยังมีคนๆๆหนึ่งที่จะยืนเคียงข้างคุณไม่ว่าสุขหรือทุกข์
ไม่ว่าเศร้าหรือเสียใจ ไม่ว่าล้มและอ่อนแอ
คุณยังมีคนๆๆนี้ ที่จะเดินเคียงข้างคุณและอยู่ข้างคุณ
แม้ว่าเขาคนนั้นอาจจะไม่ดีพร้อม ไม่สามารถร่วมชีวิตกับคุณ
แต่เขาก็จะเป็นเพื่อนและเป็นทุกอย่างของคุณในยามที่คุณต้องการใครสักคน

หม้อดินใบร้าว

ชายชาวอินเดียคนหนึ่ง ห้วงสองปีที่ผ่านมา
ผู้คนจะพบเห็นจนชินตาว่า บนบ่าของเขามีหม้อดินใบใหญ่วางอยู่ข้างละใบ..

หม้อดินใบหนึ่งมีรอยร้าว ขณะอีกใบสมบูรณ์สวยงามไร้ที่ติ
หม้อใบสวยสามารถบรรจุน้ำไว้เต็มเปี่ยม นับจากลำธารจนถึงบ้านเจ้านาย..
ขณะที่อีกใบหนึ่งนั้น เมื่อมาถึงปลายทาง กลับเหลือน้ำแค่ครึ่งเดียว
เท่ากับว่าชายผู้นี้ขนน้ำได้เที่ยวละหม้อครึ่งอยู่ทุกครั้ง แน่ล่ะ..
หม้อดินใบสวยย่อมภาคภูมิใจในตนเอง ที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน
ส่วนหม้อดินใบร้าว นอกจากอดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
ในความไม่สมประกอบของตนเองแล้ว
มันยังรู้สึกผิดกับการทำหน้าที่ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกด้วย..

หลังจากสองปีเต็ม ที่แบกความทุกข์ระทมขมขื่นนั้นเอาไว้ แล้ววันหนึ่ง
มันจึงตัดสินใจเอ่ยกับคนหาบน้ำตรงลำธารว่า..
"ฉันรู้สึกละอายใจเหลือเกิน ฉันอยากขอโทษท่าน.. ตลอดสองปีมานี้
ฉันทำงานให้ท่านได้ เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
เนื่องจากเจ้ารอยร้าวบนตัวฉัน มันทำให้น้ำรั่วไหลไปตลอดทาง"

เมื่อฟังเช่นนั้นแล้ว คนขนน้ำก็พลอยรู้สึกเสียใจไปด้วย
และแล้วเขาก็พูดว่า "เอาล่ะ..
ระหว่างทางที่เราจะเดินกลับไปบ้านเจ้านาย
ฉันอยากให้เธอสังเกตดอกไม้สวยข้างทางเดินสักหน่อย
เธอไม่ได้สังเกตหรอกหรือว่า ทำไมดอกไม้ป่าเหล่านั้น
ถึงได้งอกงามเฉพาะฝั่งที่ฉันแบกเธอเท่านั้น
ทำไมมันไม่ขึ้นอีกฟากหนึ่งด้วยล่ะ นั่นเป็นเพราะฉันได้
ตระหนักในข้อจำกัดของเธอ จึงอาศัยเงื่อนไขนี้
เพาะเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ป่าตรงทางเดินฝั่งที่ฉันแบกเธอเสมอมา และทุกๆวัน
ขณะที่เราเดินกลับบ้าน เธอเองก็ได้ช่วยฉันรดน้ำต้นไม้ให้มัน
แล้วตลอดสองปีมานี้ ฉันก็ได้เด็ดดอกไม้สวยๆพวกนี้
ไปปักแจกันให้เจ้านายของเราด้วย.. นี่ถ้าหากไม่มีเธอแล้วล่ะก็
เจ้านายของเราคงไม่มีโอกาสได้ดอกไม้ป่าอันแสนสวยงาม
ที่ผลิสะพรั่งอยู่ระหว่างทางมาประดับบ้านเป็นแน่..."

"เราเองมีคุณค่าดีพอ ถ้าไม่เปรียบเทียบคนอื่นมากเกินไป
ถ้าคิดว่าสิ่งไหนมันไม่ดี ก็พยายามแก้ไข ทำให้มันดีขึ้น
ผลลัพธ์ของการกระทำ ไม่ใช่คำตอบแห่งชัยชนะของชีวิต
จุดมุ่งหมายและความตั้งใจจริงของเราต่างหาก.. คือคำตอบที่แท้จริง"

“As good as it gets”

ชีวิตรักตายาย

คืนที่ฟ้าฉ่ำฝน …..

ตายายคู่หนึ่งจูงมือ ค่อยๆ พากันเดินเข้าร้าน Mc Donalds
แลดูแปลกตาท่ามกลางเหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาว
สายตาหลายคู่จ้องมองมาอย่างชื่นชมในความรักที่ยืนยาว
มากกว่าครึ่งศตวรรษ ของสองตายาย

ตาเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ สั่งอาหารชุด และชำระเงินอย่างคุ้นเคย
ก่อนพายายไปเลือกหาที่นั่งริมในสุดของร้าน
ตายายช่วยกันนำอาหารออกจากถาด
ตาค่อย ๆ แบ่งแฮมเบอร์เกอร์ออกเป็น 2 ส่วน เอาเฟรนช์ไฟร์ออกมานับครึ่ง
และจัดวางไว้ดูน่ารับประทานข้างหน้ายาย
คว้าแก้วโค้กมาจิบหนึ่งอึก ส่งให้ยายรับไปจิบหนึ่งอึก
ก่อนจะวางไว้ตรงกลางเบื้องหน้าทั้งคู่
ขณะที่ตาเริ่มกินแฮมเบอร์เกอร์ส่วนของตนอยู่

บรรดาลูกค้าในร้าน ที่จับตาดูคู่ตายายมาตั้งแต่ต้น
เริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย หลายคนสะกิดกันพลางกระซิบ

“น่าสงสารจัง แกคงมีเงินพอซื้อได้แค่ชุดเดียวมาแบ่งกันมั้ง”
ชายหนุ่มโต๊ะข้าง ๆ ถึงกับเดินเข้ามาหา
พร้อมเสนอตัวขอเป็นเจ้ามือซื้อให้อีกชุดอย่างสุภาพ
ตายิ้มรับความมีน้ำใจ แต่ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่า

“ไม่เป็นไรหรอก มีอะไรเราก็ต้องเอามาแบ่งกันอยู่แล้ว”

เวลาผ่านไป ทุกคนเริ่มสังเกตว่ายายได้แต่นั่งนิ่งจ้องมองตากินแฮมเบอร์เกอร์อย่างเอร็ดอร่อย
ไม่ยอมแตะต้องส่วนของตน นอกจากหยิบโค้กขึ้นมาจิบ
ชายหนุ่มคนเดิมตัดสินใจเข้ามาหาอีกครั้ง
เอ่ยขอร้อง ให้เขาได้เลี้ยงคู่ตายายที่น่ารักนี้เถอะ
คราวนี้ยายเป็นฝ่ายปฏิเสธอย่างอ่อนหวาน ยืนยันเหมือนเดิมว่า
มีอะไรก็ต้องเอามาแบ่งกัน เมื่อตารับประทานเสร็จ ขณะหยิบกระดาษมาเช็ดปาก

ยายก็ยังคงนั่งนิ่ง ดูสามีสุดที่รักอยู่อย่างนั้น
ราวกับกลัวว่า เขาจะไม่อิ่มจริง ๆ ชายหนุ่มคนเดิมก็อดรนทนไม่ได้อีก
เอ่ยปากอย่างจริงจัง ขอตายายอนุญาตให้เขาเลี้ยงสักครั้ง
แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างสุภาพอีก ….. ชายหนุ่มนึกสงสัย

“ทำไมคุณยายไม่รับประทานบ้างเลยครับ
ก็ไหนบอกว่า มีอะไรก็ต้องเอามาแบ่งกันไง
คุณตาก็ทานเสร็จแล้ว ยังรออะไรอยู่หรือครับ?”
..........
........
......
....
คุณยายตอบเนิบๆ …….. “ ฟันปลอมน่ะหลาน “

Real Essence of Teamwork

คุณเคยสังเกตเห็นไหมว่า ในฤดูใบไม้ร่วงฝูงห่านมักบินมุ่งหน้าไปยังทิศใต้ในลักษณะที่เป็นตัวอักษรวี (V)
จากการศึกษาตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าเหตุใดฝูงห่านจึงต้องบินเช่นนั้น
--------------------------------------------------
ในขณะที่ห่านตัวหนึ่งกระพือปีก ห่านที่บินตามมาจะได้รับแรงยกเพิ่มขึ้น
ดังนั้น การที่ฝูงห่านบินเป็นตัวอักษรวี (V) นั้น จะทำให้ประสิทธิภาพการบินเพิ่มขึ้น 76% กว่าการบินเดี่ยวเพียงตัวเดียว
………………
คนที่เป็นส่วน 1 ของทีมซึ่งไปในทิศทางเดียวกัน สามารถไปถึงจุดหมายได้เร็วกว่าและง่ายกว่า
เพราะว่าคนเหล่านั้นมุ่งหน้าไปโดยอาศัยความไว้วางใจในเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ
--------------------------------------------------
หากห่านตัวใดตัว 1 เกิดบินหลุดจากฝูง มันจะรู้สึกได้ทันทีถึงแรงต้านทานที่เพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น มันจะรีบบินกลับเข้าฝูงอย่างรวดเร็ว เพื่อจะได้ประโยชน์ในการบินเป็นฝูง
………………..
ถ้าเรามีไหวพริบเหมือนห่าน เราจะมีการแบ่งปันข้อมูลกับบุคคลอื่นที่มุ่งหน้าไปยังที่ที่เดียวกับเรา
--------------------------------------------------
เมื่อห่านที่บินอยู่ข้างหน้ารู้สึกเหนื่อย มันจะบินไปอยู่ข้างหลัง และให้ห่านตัวอื่นบินข้างหน้าแทน
………………..

เราต้องมีการแบ่งปันภาวะผู้นำ และผลัดเปลี่ยนกันในการทำงานหนัก
--------------------------------------------------
ฝูงห่านที่บินอยู่ข้างหลังจะส่งเสียงร้องเพื่อให้กำลังใจห่านที่บินอยู่ข้างหน้าให้รักษาระดับความเร็วต่อไป
………………
คำพูดชมเชยและกำลังใจ จะทำให้คนที่อยู่ในแนวหน้ายังคงมุ่งหน้าต่อไปได้
ท่ามกลางความกดดันและความอ่อนล้าที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน
--------------------------------------------------
ท้ายที่สุด หากว่าห่านตัวใดตัว 1 ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถบินร่วมฝูงได้
ห่านอีก 2 ตัวจะบินตามลงมาเพื่อช่วยเหลือและปกป้องห่านตัวที่บาดเจ็บจนกระทั่งห่านตัวนั้นหายดีหรือว่าตายไปแล้ว
ห่านทั้ง 2 ตัวนั้นจะเข้ากลุ่มกับฝูงห่าน เพื่อจะตามหาฝูงห่านเดิมให้ได้ทัน
………………
หากเรามีสัญชาตญาณเหมือนห่าน เราจะยืนอยู่เคียงข้างคนอื่นๆ ในช่วงเวลาที่ยุ่งยาก
--------------------------------------------------
หากคุณมีโอกาสได้เห็นฝูงห่านอีก จงอย่าลืมว่ามันเป็นรางวัล ความท้าทาย และสิทธิพิเศษในการเป็นส่วน 1 ของทีม
Team : Together Everyone Achieve More

คุณจะคิดถึงใครเมื่อคุณเศร้า

มีชายคนหนึ่ง รักผู้หญิงสองคนพร้อม ๆ กัน และไม่รู้ว่ารักใครมากกว่ากัน

มีคนสอนว่า เมื่อคุณมีเรื่องสุขใจ ใครกันเล่า เป็นคนแรกที่คุณคิดจะบอก ?

คนที่คุณคิดถึงก่อนคนแรก แท้จริงคือ คนที่คุณรักมากกว่า(หน่อย)

ไม่.. นี่ไม่ใช่วิธีเดียวที่จะพิสูจน์ความรัก
เวลาที่คุณมีเรื่องทุกข์ใจ ใครกันเล่าที่คุณคิดถึงก่อน?

คนที่คุณคิดถึงก่อน นั่นแหละคือ คนที่คุณรักมากกว่า หากคนที่คุณคิดถึงก่อน ทั้งเวลาสุขและทุกข์ คือคน ๆ เดียวกัน นั่นคือสิ่งที่วิเศษสุด แต่หากว่า เป็นคนละคนกัน เราแนะนำ ให้คุณเลือกคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างคุณ เวลาคุณมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ

เพราะชีวิตคนเราทุกข์มากกว่าสุข เวลาคุณมีความสุข มีคนมากมาย ที่พร้อมจะแบ่งปันความสุขกับคุณ ไม่เพียง แต่เฉพาะแฟนสุดที่รัก แม้กระทั่งเวลามีความสุข คุณยัง สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้ แต่ไม่ใช่จะทุกคน ที่พร้อมจะแบ่งปันความทุกข์ของคุณ แต่คนที่คุณพร้อมแบ่งปันความทุกข์ด้วยแท้จริง คือคนที่คุณต้องการมากที่สุด และอยากอยู่ใกล้ชิดมากที่สุด

ในทางกลับกัน คนที่คิดถึงคุณ เวลาคุณมีความสุข และไปหาผู้อื่นเวลาคุณมีความทุกข์ เป็นคู่รักที่ไม่มั่นคงเอาเสียเลย เพราะเขาคนนั้น ไม่คิดจะให้คุณเป็นคู่รัก ที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยตลอดชีวิต เราคงดีใจ ถ้าหากคนที่เรารัก คิดถึงเราก่อน ในเวลาที่เขามีความสุข และอยากอยู่ใกล้ชิดเรา เวลาที่เขามีความทุกข์ เขาพร้อมให้เราเห็นตัวเขา ในสภาพที่เขาอ่อนแอ ทุกข์ร้อน เราเชื่อว่า เราต้องมีความสำคัญมาก ๆ ในสายตาของเขา

..

ในเวลาที่คุณมีความทุกข์เศร้า คุณคิดแบ่งปันกับใคร ? .............

มองโลกอย่างงดงาม

แล้วทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเสมอไป



มีเพื่อนผมคนหนึ่ง ชื่อสมชาย เขาได้รับการกล่าวขวัญเสมอว่า เป็นเจ้าของร้านอาหารที่ชอบมองโลกในแง่ดี และมีอารมณ์ดีตลอดเวลา ทุกครั้ง ถ้ามีใครถามเขาว่า ชีวิตเป็นอย่างไร ? เขาจะตอบว่า "ถ้ามีแฝดอีกคน คงดีกว่านี้" ลูกน้องทุกคนรักในความเป็นผู้นำของเขา ถ้าลูกน้องคนไหนกำลังมีปัญหา เขาจะอยู่ใกล้ ๆ และคอยปลอบให้รู้ว่า จะมองเห็นสิ่งที่ดีจากเรื่องร้ายๆ ที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างไร
วันหนึ่งผมอดสงสัยเรื่องนี้ไม่ได้ จึงถามเขาว่า "เอ็งมีเคล็ดลับอะไรหรือเปล่า ถึงได้มีอารมณ์ดีอย่างนี้ได้ตลอดเวลา?" เขาตอบว่า "ทุกวันตอนเช้า เมื่อข้าถามตัวเองว่าวันนี้จะเลือกเป็นคนอารมณ์ดีหรืออารมณ์ร้าย ข้าก็จะเลือกข้อหนึ่งทุกที ทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้น ข้ามีสิทธิเลือกตกเป็นเหยี่อของเหตุการณ์หรือเลือกเรียนรู้จากเหตุการณ์ ทุกครั้งที่มีใครบ่นให้ผมฟัง ข้ามีสิทธิ์เลือกที่จะรับคำบ่นหรือชี้ให้เห็นอีกด้านหนึ่งของชีวิตที่ดีกว่า สุดท้าย ข้ามักจะเลือกด้านดีของชีวิตเสมอ"

ผมแย้งกลับไปว่า "แต่อะไร ๆ ไม่ได้ง่ายอย่างนั้นนะซิ" เขาตอบว่า "ถูกต้อง ชีวิตคือการเลือก เมื่อเอ็งตัดสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นออกไป สุดท้ายจะเหลือแค่การเลือก เอ็งมีสิทธิเลือกตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ว่า จะทำให้คนอื่นตอบสนองอารมณ์เอ็งได้อย่างไร เอ็งมีสิทธิ์เลือกที่จะสบายใจหรือหัวเสียตลอดเวลาได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าเอ็งจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร ?"

หลังจากนั้นไม่นาน ผมได้รับข่าวร้ายว่า เพื่อนผมคนนี้ถูกโจรที่เข้ามาปล้นร้านอาหารยิง และได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคยังดีที่มีคนมาพบและนำส่งโรงพยาบาลทัน หลังจากการผ่าตัดนานกว่า 18 ชั่วโมงผ่านไป และนอนพักรักษาตัวเป็นเวลากว่าหนึ่งอาทิตย์ สมชายได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้

ในระหว่างที่ผมไปเยี่ยมสมชาย ผมถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง ? เขาตอบว่า "ถ้ามีแฝดอีกคน คงดีกว่านี้แน่" เขาถามผมว่า อยากดูบาดแผลหรือเปล่า ผมตอบว่าไม่ แต่อยากรู้ว่า เขาผ่านเรื่องร้ายๆ อย่างนี้มาได้อย่างไร ? "สิ่งแรกที่ข้านึกได้คือ น่าจะล๊อคประตูหลังร้านไว้" สมชายตอบ "แต่หลังจากถูกยิง ขณะที่นอนอยู่บนพื้น ข้าบอกตัวเองว่า "ข้าเหลือทางเลือกเพียงสองทาง คือมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่ก็ตาย แน่นอนที่สุด ข้าเลือกมีชีวิตอยู่"

"แล้วไม่รู้สึกกลัวบ้างเลยหรือ?" ผมถามต่อ สมชายเล่าต่อไปว่า "พวกที่มาช่วยเก่งมาก พวกเขาบอกผมตลอดเวลาว่า ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างต้องเรียบร้อย แต่ระหว่างที่ข้าถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัด ข้ามองเห็นสีหน้าของหมอและพยาบาลแล้ว ผู้รู้สึกได้จากสายตาของพวกเขาว่า "ข้ากำลังจะตาย" เลยบอกตัวเองทันทีว่า "ต้องทำอะไรสักอย่าง"

"แล้วเอ็งทำอะไร ?" ผมถาม "พอดีมีนางพยาบาลคนหนึ่งตะโกนถามว่า แพ้อะไรหรือเปล่า ?" สมชายก็ร้องออกมาทันทีว่า "หมอ หมอ ผมแพ้อยู่อย่างหนึ่งครับ" ทั้งหมอและพยาบาลหยุดชั่วขณะจนห้องทั้งห้องเงียบกริบ เพื่อรอฟังคำตอบ ข้าหายใจเข้าลึก ๆ และตอบไปว่า "ผมแพ้หัวลูกปืนครับ" ทันใดนั้น ทุกคนก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นไปหมด ต่อจากนั้น ผมก็บอกหมอว่า ข้าอยากมีชีวิตอยู่ ช่วยกรุณาผ่าตัดอย่างคนมีชีวิต ไม่ใช่คนที่ตายไปแล้ว"

แม้ว่าการที่สมชายมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เกิดจากฝีมือหมอก็ตาม แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากความคิดในแง่ดีของเขาด้วย ข้อคิดจากเรื่องนี้ก็คือ คุณมีสิทธิ์ที่จะชื่นชมกับชีวิตหรือทำให้ชีวิตขื่นขมได้ ด้วยความคิดของคุณเอง ถ้าคุณจัดการเรื่องนี้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเสมอไป

สื่อรักอินเทอร์เน็ต

ขณะนี้ฉันนอนอยู่บนเตียง หลังจากที่ลุกไปอาเจียนหลายรอบจนหมดแรง และฉันกำลังนอนคิดถึงเรื่องราว ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของตัวฉันเอง

ฉันเกิดมาจากครอบครัวที่อบอุ่น ฉันเป็นลูกคนเดียว ที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก ฉันเลยเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง จะเอาอะไรเป็นต้องได้ดั่งใจ ครอบครัวเราย้ายมาอยู่ที่ประเทศสวิสเซอรแลนด์ ตั้งแต่ฉันอายุได้แปดขวบ ฉันจึงเรียน และเติบโตที่นี่ ฉันถูกอบรมและสั่งสอนมาแบบไทยกึ่งยุโรป คุณพ่อและคุณแม่ของฉันท่านเป็นทนายทั้งคู่ แต่ว่าฉันเลือกที่จะเรียนการโรงแรม เพราะใจฉันรักงานทางด้านนี้ และความที่ฉันเป็นคนชอบฟังเพลง มาตั้งแต่เด็ก ๆ ฉันจึงไปเรียนทางด้านดีเจและสอบจนได้ใบอนุญาตมา และต่อมาก็ได้มีรายการวิทยุเป็นของตัวเอง ฉันทำงานด้านดีเจพร้อมกับเรียนที่มหาวิทยาลัยไปด้วย

ชีวิตในมหาวิทยาลัย เป็นชีวิตที่สนุกมากสำหรับฉัน ฉันจะมีแต่เพื่อนต่างชาติ และเพื่อนคนไทยที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แค่สองคนเท่านั้นเอง ฉันเป็นประธานนักเรียนไทยในสวิส เป็นนักแข่งรถสมัครเล่นทีมยุโรป ชีวิตในแต่ละวันของฉัน หมดไปกับการเรียน และการทำกิจกรรม แล้วก็งานด้านดีเจ ฉันมีเพื่อนชายมากมาย แต่ก็แค่ไปทานข้าวฟังเพลงเท่านั้น ไม่มีใครคนไหนมาทำให้ฉันรู้สึกรักได้เลย

ฉันคบเพื่อนชายพร้อมกันหลาย ๆ คน และฉันก็บอกให้พวกเขาทราบกันหมดทุกคนด้วยว่า ฉันคบใครอยู่บ้าง ฉันไม่เคยให้ความหวังกับใคร หรือตอบรับรักใครเลยสักคน เพราะฉันคิดเสมอว่า ฉันมีสิทธิ์ที่จะเลือกคนที่ดีที่สุด มาเป็นคู่ชีวิตของฉัน

พอฉันเรียนปีสุดท้าย คุณแม่ก็ขอให้ฉันรับหมั้นกับลูกชายเพื่อนของท่าน ซึ่งฉันกับเขาก็รู้จักกันมาหลายปีแล้ว ด้วยความที่ฉันยังไม่เคยรักใครมาก่อน ก็เลยรับหมั้นเขา แต่ฉันก็ได้ขอเวลากับเขาสองปีแล้วค่อยแต่งงานกัน และในระหว่างสองปีนี้ ถ้าฉันเกิดเจอคนที่ฉันรักขึ้นมา เขาต้องปล่อยฉันไป ซึ่งเขาก็ได้ตอบตกลงกับฉัน หลาย ๆ คนบอกว่า ฉันโชคดีที่ได้หมั้นกับเขา เขาเป็นผู้ชายในฝันของหญิงสาวมากมาย ด้วยรูปร่างหน้าตา ฐานะ ชาติตระกูล และการศึกษา แต่สำหรับฉันแล้วไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรเลย และความที่เขาเป็นคนขี้หึงมาก ๆ และฉันซึ่งเป็นคนที่ไม่ยอมคน ฉันจึงทนความขี้หึงเขาไม่ไหว ฉันเลยถอนหมั้น โดยที่ฉันไม่ได้รู้สึกเสียดายในตัวเขา กลับรู้สึกโล่งอกด้วยซ้ำไป ที่ได้ถอนหมั้นกับเขาได้

และแล้ว กามเทพก็ได้เล่นตลกกับชีวิตของฉัน เมื่อเย็นวันหนึ่ง เพื่อนโทรมาคุยชวนไปทานข้าวเย็นที่บ้านเขา หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ เพื่อนชวนฉันเข้ามาเล่นอินเทอร์เน็ต นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเข้ามาแช๊ทกับคนไทย เป็นครั้งแรกที่รู้สึกประทับใจมาก เพราะเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่คุยด้วยน่ารักมาก เราแลกเปลี่ยนอีเมล์ซึ่งกันและกัน ซึ่งมีพี่ฟางพี่สาวที่แสนดีแนะนำเพื่อน ๆ ให้รู้จัก หลังจากวันนั้น ฉันมักหาเวลาเข้ามาคุยกับพวกพี่ ๆ เขาตลอด หลังจากคุยกันได้ไม่นาน พี่ ๆ แนะนำ ห้องแช๊ทอีกห้องหนึ่งให้รู้จัก และที่นี่เองคือที่ซึ่งแม่สาวเปรี้ยวอย่างฉัน ตกหลุมรักครั้งแรกกับหนุ่มไทยคนหนึ่ง ทุก ๆ อย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนฉันไม่คาดคิด และทำเอาคนรอบข้างช๊อคไปตาม ๆ กัน

แรก ๆ ที่ฉันคุยกับเขา ฉันไม่ได้สนใจเขาเลย ได้ยินแต่กิตติศัพท์ว่า เขาเป็นจอมกวนประจำห้องนี้ มานานแล้ว พอฉันเข้ามาเขาก็ทักสวัสดี ฉันสวัสดีตอบ และก็ไม่สนใจที่จะคุยกับเขาอีกเลย จนมีพี่ ๆ เขาท้าฉันว่า ถ้าทำให้เขามาสยบที่ฉันได้
เหมือนกับที่ฉันเคยทำกับคนอื่น ๆ ได้ เราพนันกันด้วยการพาไปเลี้ยงอาหารหนึ่งโต๊ะใหญ่ ฉันรับคำท้าทันที เขาเป็นคนไทยที่เกิดที่ชิคาโก้และทำงานอยู่ที่นั่น ส่วนฉันอยู่สวิสเซอรแลนด์ เวลาของประเทศสวิสเร็วกว่าที่ชิคาโก้ 7 ชั่วโมง มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะได้มาออนไลน์เวลาเดียวกัน
แต่แล้ววันหนึ่ง เราก็ได้บังเอิญมาเจอกันอีกครั้ง เราได้คุยกันมากกว่าคำว่าสวัสดีเป็นครั้งแรก และฉัน ก็ได้ถามเขาจนได้รู้ว่า เขาจะออนไลน์ในช่วงไหน ฉันเริ่มแผนการณ์ทันที ก็รับคำท้าพวกพี่เขาไปแล้วนี่ ทำงัยได้

แรก ๆ ที่คุยกันฉันไม่ชอบเขาเอาซะเลย เพราะไม่เคยมีผู้ชายคนไหน มาพูดจากวนประสาทฉัน ได้มากเท่าเขามาก่อน ฉันเองพูดกวนเขากลับ
จนเขาอึ่งไปก็หลายหน คู่เราเลยกลายเป็นคู่กัดประจำห้องแช๊ทนี้ไปเลย พอถึงเวลา ที่เราทั้งสองออนไลน์ จะมีพี่ ๆ เพื่อน ๆ เข้ามาช่วยเชียร์ เป็นที่สนุกสนานของห้องไปเลยล่ะ จนอยู่มาวันหนึ่ง ฉันหายไป ไม่ได้เข้ามาที่ห้องนี้สองวัน พอเจอเขา ฉันถามเขาว่าคิดถึงฉันบ้างไหม เขาไม่ยอมตอบในห้อง ได้แต่บอกว่าแล้วจะเมล์ไปบอก ฉันเลยลาทุก ๆ คนไปนอนเพราะดึกมากแล้ว
ตื่นเช้ามาฉันเปิดเช็คเมล์ เขาเขียนมาบอกว่า ''คิดถึงสิครับ'' เมล์ทั้งฉบับเขียนแค่นั้นจริง ๆ ฉันเลยตอบกลับ ไปว่า ''เช่นกันค่ะ'' แล้วฉันได้หลอกล่อให้เขาบอก คิดถึงฉัน ในห้องแช๊ทจนได้ ซึ่งปกติเขาอาจจะเป็นคนที่ดูกวน ๆ แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนขี้อาย เขาดูเหมือนจะเก่งในด้านพูดกวนประสาทสาว ๆ ในห้อง แต่ว่าเขาไม่เคยจีบใครในห้องเลย วันที่เขาบอกคิดถึง นั่นคือวันแรกที่ฉันรู้สึกแปลก ๆ กับผู้ชายคนนี้ และหลังจากนั้น เราเริ่มโทรศัพท์หากันทุก ๆ วัน เขาเป็นชายไทยคนแรกที่ทำให้ฉันรู้สึก อยากเรียนรู้ ู้และอยากทำความรู้จักให้มากกว่านี้

เหมือนพระเจ้าจะเข้าข้างฉัน พี่ ๆ เจ้าของห้องแช๊ทนี้ ก็ได้จัดงานพบปะสังสรรค์กันขึ้น ซึ่งตรงกับเวลาที่ฉันจะต้องบินไปเรื่องงาน ที่เมืองไทยพอดี ฉันเลยรับปากพวกพี่ ๆ ว่าจะไปร่วมงานด้วย ฉันเลยแกล้งชวนเขาเล่น ๆ ให้มางานด้วย ที่ว่าชวนเล่น ๆ เพราะรู้ว่าเขาคงจะมาไม่ได้ เนื่องมาจากเขาเพิ่งกลับมาจากเที่ยวเมืองไทยได้ไม่นาน และวันลาของเขาก็หมดแล้วด้วย แต่เขาตอบฉันกลับมาว่า จะลองไปคุยกับ Boss ดู นั่นทำให้ฉันปลื้มเขามาก วันรุ่งขึ้นเขาก็โทรมาบอกว่า Boss ไม่อนุมัติ เนื่องจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นได้ขอลาหยุดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว จึงไม่สามารถจะให้เขาลาหยุดได้ แต่เขาบอกฉันว่าพรุ่งนี้เขาจะลองเข้าไปขออีกครั้ง และในวันรุ่งขึ้นเขาก็เมล์มาบอกฉันว่า See you soon in Thailand อ่านเมล์จบ ฉันดีใจมากๆๆ ฉันจึงเริ่มต้นนับเวลาถอยหลัง
นั่งนอนนับวันที่เราจะได้พบหน้ากัน

ฉันมาถึงเมืองไทยก่อนหน้าเขาหนึ่งวัน ฉันไปรอรับเขาที่สนามบินกับน้องชาย รู้สึกปกติและไม่ตื่นเต้นอะไร ระหว่างที่รอเขาออกมา แต่พอเห็นเป็นเขาเดินออกมาแค่นั้นแหล่ะ ฉันรู้แล้วว่าใช่คนนี้ จึงวิ่งไปรอที่รถ ให้น้องชายเดินไปรับเขาแทน จากที่เป็นคนเก่งมาตลอด กลับต้องมานั่งใจเต้นรอเขาในรถ เขาดูดีกว่าในรูปอีกแฮะ ตลอดระยะเวลาห้าวัน ที่เขาลางานมา เพื่อที่จะมาหาฉัน มันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน

แล้วก็มาถึงวันสุดท้าย ที่เขาจะต้องเดินทางกลับ ฉันบอกกับตัวเองว่า คืนนี้ฉันจะไม่ไปส่งเขาหรอก ให้น้องชายไปส่งแทน แต่เขาก็อ้อน ๆ ๆ ๆ เหลือเกิน จนฉันใจอ่อนและไปส่งเขาที่สนามบิน ที่ไม่อยากไปส่งเพราะกลัวว่า สาวแกร่งอย่างเรา จะไปร้องไห้ที่สนามบินน่ะสิ แหมม... ก็ตลอด 5 วันที่เราอยู่ด้วยกัน เราแทบจะไม่ห่างกันเลย ฉันซึมซับผู้ชายคนนี้เข้ามามากมายในหัวใจฉัน แบบที่ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้ ให้กับผู้ชายคนไหนมาก่อน วันสุดท้ายเขามอบแหวนให้ฉันสองวง มันคือทองเกลี้ยงหนึ่งวง และแหวนรุ่นจากโรงเรียนสวนกุหลาบ ที่เขาเรียนจบมาอีกหนึ่งวง ประวัติของแหวนรุ่นวงนี้มีอยู่ว่า ก่อนที่เขาจะเรียนจบเขาได้สั่งทำแหวนรุ่นไว้สองวง วงแรกเป็นวงที่มีนามสกุลของเขาสลักอยู่ ซึ่งเป็นวงที่เขาสวมติดตัวอยู่ตลอดเวลา ส่วนวงที่เขาให้ฉัน เขาสลักคำว่า "ให้เธอ" เอาไว้ เขาบอกกับฉันว่าตอนที่เขาสั่งทำแหวนวงนี้นั้น ่เขาตั้งใจจะมอบแหวนวงนี้ ให้กับใครสักคน ที่เขารักและเลือกที่จะร่วมชีวิตด้วย เขาเก็บแหวนวงนี้ไว้นานถึงสิบปี เพื่อที่จะรอคอยใครสักคนที่เหมาะสม และฉันก็คือผู้โชคดีคนนั้น ที่ได้แหวนวงนี้จากเขา มันเป็นแหวนที่มีค่าทางจิตใจ กับฉันมากกว่า บรรดาแหวนมีค่ามากมายที่ฉันมี

แล้วเวลาที่เราต้องจากกันก็มาถึง เขาจะต้องเดินเข้าไปขึ้นเครื่องข้างในแล้ว ฉันบอกกับเขาว่าขอฉันบินกลับไปเคลียร์งานที่สวิสก่อน แล้วจะบินไปหาเขาที่ชิคาโก้ พร้อมกับสัญญากับเขาว่า แม้กายจะไม่ได้ไปอยู่เคียงใกล้ แต่ใจดวงนี้จะไม่ให้ใครมาแทนที่ แล้วเขาก็ลาฉันแล้วหันหลังเดินจากไป ฉันเพิ่งเข้าใจคำว่าโดนกระชากใจก็วันนี้เอง

ฉันต้องอยู่เมืองไทยอีก 10 วันเรื่องงาน แล้วฉันก็บินกลับมาสวิส กลับมาถึงมีงานมากมายรอให้เคลียร์ ฉันรีบเคลียร์งานมากมายจนเสร็จ และบุ๊คตั๋วไปชิคาโก้ทันที กะว่าจะไปเที่ยวสักสองอาทิตย์ และแล้วก็เกิดเรื่อง เมื่อคุณแม่ทราบว่าฉันได้ติดต่อกับหนุ่มไทย และกำลังจะบินไปหาเขาที่ชิคาโก้ ท่านโกรธมาก ท่านคิดเสมอว่า คู่หมั้นของฉันที่ท่านเลือกให้นั้นเหมาะสมกับฉันที่สุดแล้ว เมื่อฉันยืนยันกับท่านว่า ฉันจะไม่แต่งงานกับคู่หมั้นของฉัน ท่านพยายามขัดขวางฉันทุกวิถีทาง เพื่อที่จะไม่ให้ฉันไปชิคาโก้ แต่ฉันก็ไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น ฟังแต่เสียงของหัวใจตัวเองเท่านั้น คือไม่ว่าจะอย่าง ไรก็จะต้องไปให้ได้ อย่างที่ฉันได้บอกกับเขาไว้

เดิมทีฉันตั้งใจว่าจะไปเที่ยวแค่สองอาทิตย์แค่เท่านั้น แต่เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ฉันจึงเปลี่ยนใจและตั้งใจว่า จะไปอยู่ที่ชิคาโก้กับเขาเสียเลย อยู่กับผู้ชายที่ฉันรู้จักแค่สี่เดือน และใช้เวลาอยู่ร่วมกันที่เมืองไทยแค่ห้าวัน ฉันรู้สึกได้ว่ากับผู้ชายคนนี้ ฉันคงคิดไม่ผิดที่จะวางชีวิตทั้งชีวิตของฉัน ลงในมือของเขา แล้ววันเดินทางไปชิคาโก้ก็มาถึง ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก คิดไปสารพัด เราต้องไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทุก ๆ อย่างแปลกใหม่ไปหมด จะเป็นอย่างไรบ้างน๊า ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า เอาเถอะน่าไหน ๆ ก็ตัดสินใจมาแล้วนี่ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เมื่อฉันมาถึงชิคาโก้ ฉันไม่รู้สึกเสียใจเลย ที่ตัดสินใจมอบชีวิตของฉัน ให้กับผู้ชายคนนี้

ชีวิตใหม่ในชิคาโก้ มีเหงาบ้างและต้องปรับตัวในทุก ๆ ด้าน แต่ฉันก็มีความสุขที่ได้อยู่กับเขา ครอบครัวของเขาต้อนรับฉันและให้ความอบอุ่นกับฉันดีมากทุก ๆ คน เลยทำให้ฉันไม่รู้สึกคิดถึงบ้านมากนัก แต่คุณพ่อของฉันท่านโทรข้ามประเทศมาหาฉันทุกวันด้วยความเป็นห่วง ฉันไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันกับครอบครัวของเขา เราแยกมาอยู่อพาร์ทเมนต์กันสองคน เขาไปทำงานแต่เช้าทุกวัน ฉันเปลี่ยนจากแม่สาวเปรี้ยว มาเป็นแม่บ้านเต็มตัว ฉันทำงานบ้านเองทุกอย่าง รวมทั้งทำอาหาร ซึ่งฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตฉันต้องมาทำอะไรแบบนี้ ฉันได้มาเรียนรู้ว่า การที่ได้ทำอะไร ให้คนที่เรารัก มันคือความสุขอีกรูปแบบหนึ่ง ฉันเริ่มสนุกกับการทำงานบ้าน มีความสุขกับชีวิตเรียบง่ายกับคนที่ฉันรัก

หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันได้รับได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากสวิสว่า คุณแม่ป่วยเข้าโรงพยาบาล เป็นเนื้องอกในสมอง ฉันรีบบินกลับสวิสทันทีที่รู้ข่าว เพราะหลังจากที่ฉันจากบ้านมา แม่บ้านของฉันบอกว่า สุขภาพท่านแย่ลงทันตาเห็น ฉันเลยรู้สึกผิดมาก ๆ ที่ทำร้ายจิตใจท่าน และการผ่าตัดเนื้องอกในสมองก็ผ่านไปด้วยด้วยดี ท่านปลอดภัย และอาการดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ตัวฉันเองกลับอาการแย่ลงทุกวัน คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว อยากจะทานอะไรแปลก ฉันจึงไปตรวจร่างกาย ปรากฎว่าฉันกำลังจะเป็นแม่คน ฉันรู้สึกดีใจมาก รีบโทรไปบอกพ่อของลูกที่ชิคาโก้เป็นคนแรก เราทั้งสองดีใจกันมาก ฉันเริ่มบอกคนในครอบครัวของฉัน เขาก็บอกคนในครอบครัวเขาเช่นกัน ทั้งสองครอบครัวเห่อหลานกันมาก ถึงขนาดเริ่มตั้งชื่อหลานกันแล้ว

คุณแม่ของฉัน จากที่ไม่ยอมรับเขาเป็นเขย ก็เริ่มใจอ่อน ชีวิตฉันในตอนนี้ฉันมีความสุขมาก ๆ ทุกอย่างกำลังจะผ่านไปได้ด้วยดี ฉันกำลังจะเป็นคุณแม่ ส่วนเขาก็เห่อลูกมากเช่นกัน เราจะตั้งชื่อเล่นให้ลูกเราว่า น้องเน็ต เพราะเราพบรักกันทางเน็ต

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่ามีรักแท้เกิดขึ้นได้ทางอินเตอร์เน็ต ฉันไม่รู้ว่า ฉันจะต้องขอบคุณอะไรดี ที่ทำให้ฉันมาพบกับเขาคนนี้ ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งซึ่งมีใจรักและความอบอุ่นให้ฉันเสมอมา ฉันคิดว่าฉันโชคดีมากที่ได้มาพบเขาคนนี้ แม้ว่าเราจะอยู่กันคนละทวีป แต่คงเป็นเพราะพรหมลิขิต ที่ทำให้เราได้มาพบกันและได้รักกัน

ขอบคุณสวรรค์ที่นำพาให้เราทั้งสองมาพบกัน

ครอบครัวของฉัน

นาย กอ มีเชื้อสายจีน เป็นคนที่มีสมองดี ได้เรียนในโรงเรียนฝรั่งที่มีชื่อแห่งหนึ่ง ตอนเรียนก็ทำตัวเกเรซะเป็นส่วนใหญ่ จนคนที่บ้านคิดว่าคงจะเรียนไม่จบอย่างแน่นอน ต่อมาเมื่อ กอ เรียนอยู่ มศ.4 ก็ได้รู้จักกับนางสาว ขอ (ในตอนนั้นกอมีอายุ 16 ปี ส่วน ขอมีอายุ 19 ปี) ทั้งสองคนได้รู้จักกันโดยการผ่านการแนะนำจากเพื่อนฝูง ซึ่ง ขอ เองนั้นเป็นคนต่างจังหวัด เมื่อเรียนจบ มศ.3 ก็ได้เข้ากรุงเทพมาทำงานเป็นสาวโรงงาน เมื่อได้รู้จักกัน ก็รักกัน แต่ด้วยความที่เป็นวัยรุ่น กอ ได้ทำ ขอ ท้องตอน กอ นั้นเรียนอยู่แค่มศ.5 ซึ่ง ตอนนั้นก็เตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยพอดี คนที่บ้านของกอต่างก็บอกว่ามีเมียซะตั้งแต่ยังเรียนไม่จบอย่างนี้แล้วจะสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้เหรอ แล้วคนในบ้านกอก็ไม่ค่อยชอบขอสักเท่าไหร่

เมื่อขอได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของกอ ก็โดยกลั่นแกล้งสารพัน ส่วนขอก็ได้แต่อดทน อดทน และอดทน เพื่อลูก เพื่อสามี ตลอดเวลาที่ผ่านมานายกอ มุอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำ จนกระทั่งสอบติดสัตวแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแถวบ้าน สามารถขี่จักรยานไปเรียนได้ภายในเวลา 10 นาที เช่นเดิมที่บ้านกอก็บอกว่า อืมมันเฮงที่ สอบติด แต่จะเรียนจบเหรอ เพราะมันมีเมีย

ตลอดเวลาที่เรียน อยู่ที่นี่ ทุกเที่ยงนายกอจะต้องขี่จักรยานกลับบ้านเพื่อมาป้อนนม ลูกสาวคนโต คาดว่าตอนนั้นลูกสาวคงอายุไม่เกิน 1 ปี เป็นเด็กที่งอแงมาก เปลหยุดเมื่อไรจะร้องไห้ตลอดเวลา แล้วตอนบ่าย เมื่อนายกอมีเรียน จึงจะขี่จักรยานกลับไปเรียน ทุกค่ำเวลา 1 ทุ่ม นายกอ จะต้องอยู่ที่บ้านเพื่อเอาลูกสาวคนนั้นนอนหลับบนตักตัวเอง เป็นภาพที่น่าประทับใจนะ มันเป็นความอบอุ่นที่ถ่ายทอดมายังลูกสาว

สมัยตอนรับน้องนายกอต้องนอนค้างที่คณะเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ แต่คืนนั้นนายกอจะนอนค้างได้ลงอย่างไร ในเมื่อมีเด็กน้อยตัวเล็กนอนคอยนายกออยู่ที่บ้าน ดังนั้นเมื่อเวลา 4 ทุ่ม นายกอก็ขี่จักรยานกลับบ้านเช่นเดิม รุ่นพี่ที่เฝ้าอยู่หน้าคณะก็ถามว่า จะไปไหน รับน้องอยู่นะ นายกอก็ตอบว่า จะกลับบ้าน รุ่นพี่ก็ถาม ว่า จะกลับไปทำไม นายกอก็ตอบว่า จะกลับไปเลี้ยงลูก... เมื่อรุ่นพี่ได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็ยอมให้กลับบ้านไป

สมัยนั้น สัตวแพทย์เมื่อเรียนครบ 4 ปี จะได้รับปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต ซึ่งนายกอก็พาเด็กน้อยคนนั้นมาถ่ายรูปด้วย บังเอิญที่นางขอนั้นตั้งท้องลูกอีกคนหนึ่ง จึงไม่สามารถมาถ่ายรูปในงานได้ เพื่อนนายกอทุกคนดูจะเอ็นดูเด็กน้อยคนนั้น ซึ่งในตอนนั้นยังไม่มีเพื่อนคนไหนของนายกอที่ทำเช่นนี้เลย

เป็นเช่นนี้เรื่อยมา จนกระทั่งนายกอสำเร็จออกมาเป็นสัตวแพทยศาสตรบัณฑิต ภาพเมื่อตอนรับปริญญาคือ มือข้างหนึ่งจูงลูกสาวคนโต และมืออีกข้างหนึ่งนั้นจูง ลูกสาวคนเล็ก น่ารักดีนะ เมื่อกอจบออกมาสิ่งที่ตั้งใจไว้คือ อยากออกไปทำงานต่างจังหวัด แต่จะไปได้อย่างไรในเมื่ออายุของแม่นายกอนั้นก็เยอะแล้ว แถมยังมีเมีย และมีลูกที่ต้องดูแล คนโตอายุ 6 ขวบ คน เล็กอายุ 3 ขวบ แล้วพ่อนายกอก็ยังมีกิจการซึ่งก็อยากให้ลูกมารับช่วงสืบทอดกิจการต่อ จึงได้แค่เปิดคลินิกรักษาสัตว์ที่บ้าน ตอนกลางวันก็ไปทำงานให้กับพ่อ ตกตอนเย็น และ เสาร์ อาทิตย์ ก็มาเปิดคลินิก

เปิดคลินิกได้สักพักนายกอมีความตั้งใจ ที่จะเรียนแพทยศาสตร์ต่อ จึงติดต่อที่เรียนในอเมริกาไว้ และเดินทางไปเรียนโดยกลับเมืองไทยปีละ 2 ครั้ง ไม่ต้องถาม หรอกนะว่าที่บ้านรู้สึกเป็นอย่างไร คงโชคดีมั่งที่ลูกยังเล็กอยู่ ก็ไม่ค่อยได้มีความรู้สึกอะไรมาก มีแค่จดหมายที่ส่งมาเกือบทุก 3 อาทิตย์ว่า การเป็นอยู่ของนายกอเป็นอย่างไร ให้พอหายคิดถึงได้บ้าง ทุกครั้งคำลงท้ายของนายกอที่ฝากมายังลูก ๆ นั้นคือ ขอให้ลูกรักของพ่อ กินได้ ยิ้มได้ หัวเราะได้ ตั้งใจเรียน เป็นเด็กดี และเชื่อฟังแม่นะ แต่อะไร ๆ มันคงไม่โชคดีไปซะหมดหรอก

ผ่านไป 4 ปี นายกอต้องทำข้อสอบอะไรสักอย่างหนึ่งให้ผ่าน เพื่อที่จะสามารถเข้าไปเป็นหมอฝึกหัดในโรงพยาบาล โดยต้องสอบผ่าน ที่ 75 คะแนน แต่…นายกอทำได้แค่เพียง 69 คะแนนเท่านั้นเอง จึงได้แต่คิดว่า "ผมคงยังพยายามไม่พอ" จึงได้อ่านหนังสืออย่างหนักและกลับไปสอบใหม่ แต่คะแนนก็ยังคงอยู่ที่ 69 คะแนนเช่นเดิม เป็นไปได้อย่างไรกันนะ ??? เพราะเรา เป็นคนเอเชียหรืออย่างไรเขาจึงกีดกันไม่ได้เข้าไปเป็นหมอฝึกหัดในโรง พยาบาลของอเมริกา เฮ้ยยย…กลับบ้านดีกว่า คิดถึงลูก คิดถึงเมีย คิดถึงพ่อแม่ที่บ้าน เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย มีจดหมายจากที่โรงเรียนแจ้งกำหนดการสอบครั้งใหม่ให้แก่นายกอทราบ นาย กอจึงอ่านหนังสือและกลับไปสอบอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังคงเป็น 69 คะแนนอยู่ดี จึงละทุกอย่าง และกลับมาดำเนินชีวิตเช่นก่อนหน้าที่จะไปเรียน

นั่นคือ ทำงานกับครอบครัวและเปิดคลินิกรักษาสัตว์ไป ด้วย เพราะอะไรไม่รู้กิจการคลินิกไม่เจริญยิ่งทำก็ยิ่งจม ทุกคน เลยบอกให้ปิด แล้วไปทำงานกับพ่อเพียงอย่างเดียว ซึ่งนายกอก็ยอม แต่พอเว้นไป 1-2 ปี ก็ยังกลับมาเปิดอีก เพราะต้องการทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและไม่อยากละทิ้งความฝัน แต่คลินิกก็ไม่ดี เป็นอย่างนี้อยู่ทั้งหมด 3 ครั้ง จากนั้นจึงตัดสินใจว่าคงต้องทำงานกับพ่อเพียงอย่างเดียว

ถึงแม้จะทำงานในครอบครัว แต่บางครั้งทัศนคติระหว่างพ่อ-พี่ชายและนายกอก็ไม่ค่อยตรงกัน พ่อและพี่ชายคิดว่าการ มีทรัพย์สินที่เป็นสินค้าอยู่ในสต็อกนั้นดีกว่าการเอาสินค้านั้น ออกมาขายลดราคาเพื่อให้ได้เป็นตัวเงิน ซึ่งนายกอคิดว่ามันไม่ดีมันทำให้เงินจมอยู่ในนั้น จึงมีความขัดแย้งกัน ทะเลาะกันอย่างหนัก ครบ 10 ปี พอดีที่นายกอได้เข้ามาช่วยทำกิจการกับที่บ้าน

จากนั้นนายกอทราบว่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เปิดอบรมการเลี้ยงวัวที่นครปฐมเป็นระยะเวลา 1 เดือน นายกอจึงตัดสินใจไป อบรม ลูก ๆ ก็ได้แต่สงสัยว่า เอ๊ะ พ่อฉันหายไปไหน ทำไมยัง ไม่กลับบ้านอีก และสงสัยว่าพ่อของตนนั้นคิดอย่างไรกันที่ทำอย่างนี้ เมื่ออบรมเสร็จกลับมาแล้วก็มาบอกกับทุก ๆ คน ว่า ผมจะออกไปเลี้ยงวัวที่จังหวัดราชบุรีนะ ตอนนั้นลูกสาวคนโตเพิ่งจะเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนลูกสาวคนเล็กก็เพิ่งจะขึ้น ม.ปลายเอง ต่างก็คิดว่าแล้วจะดีเหรอ เพราะมันหมายถึงนายกอจะต้องย้ายออกไปจากบ้าน จากที่นายกอเคยอยู่บ้านทุกวัน อบอุ่นที่มี "พ่ออยู่ บ้าน" มีปัญหาสงสัยอะไรสามารถถามพ่อได้เลย มันก็จะไม่มีอีกแล้ว แต่นายกอก็ไป ตอนนั้นนายกออายุ 38 ปี ไม่มีใครรู้ว่านายกอไป แล้วจะเป็นอย่างไร แต่นายกอก็กลับบ้านทุกเดือน เดือนละ 2 วัน

…ปีที่ 2 หลังจากที่นายกอย้ายไปอยู่ราชบุรี ลูกสาวคนโตของ นายกอถูกชายคนหนึ่งทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง ทั้งยังทำตัวประชดชีวิต ไม่สนใจการเรียนเท่าที่ควร และสุดท้ายได้ตัดสินใจ ฆ่าตัวตาย แต่คงเป็นเพราะบุญยังมีอยู่ จึงรอดชีวิต นายกอได้แต่บอกกับลูกสาวคนโต ว่า "ผิดไปไม่มีใครว่าอะไร มีแต่คนให้ อภัย ขออย่างเดียว ..อย่าท้อแท้…"

ลูกสาวจึงถามนายกอ ขึ้นมาว่า "พ่อเสียดายไหมที่เรียนหมอไม่จบ แล้วต้องกลับมา" นายกอตอบ ว่า "รู้จักคำว่า replacement ไหม" ลูกสาวจึงตอบว่า รู้จัก

แล้วนายกอก็บอกว่า "ในเมื่อทำอย่างนั้นไม่ได้ ก็หาอย่างอื่นทำ ไปเรื่อย ๆ พ่อเรียนหมอไม่จบแล้วกลับบ้านมาเมืองไทย เปิดคลินิกแล้วเจ๊ง ไปทำงานกับอากงก็ทะเลาะกัน คิดว่าจะทำอะไรดี แล้วก็เลยลองมาเลี้ยงวัวดูว่าจะดีไหม คำตอบคือ ดี ทำแล้วมี ความสุข ถึงแม้จะไม่รวยแต่มีความสุข"

เมื่อลูกสาวฟังดังนั้น จากที่เคยนั่งร้องไห้เกือบทุกคืน และจากที่คิดว่าตัวเองไม่มีค่า เขาจากไปแล้ว แล้วฉันจะเหลืออะไร ได้เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่า มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ฉันสามารถทำได้ แล้วฉันก็จะต้องทำได้อย่างดีด้วย จึงหันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาและตั้งใจเรียน อ่านหนังสือแทนการร้องไห้ แล้วเธอก็สามารถเรียนจบได้อย่างดี

…ปีที่ 4 หลังจากที่นายกอย้ายไปอยู่ราชบุรี โชคดีที่ลูกสาวคนโตสามารถสอบเรียนป.โทได้ แต่เรียนได้แค่ปีเดียวเท่านั้นก็ไม่ไหว ด้วยเพราะเกรดไม่ดี แล้วมีความรู้สึกว่ามันคงไม่ใช่ทางของเรา เราถึงเรียนมาแล้วติดโปร จึงลาออกช่วงจังหวะที่ลาออกนั้น ลูกสาวได้คุยกับนายกอ นายกอแนะนำว่า ไม่เป็นไรเรียนไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่อย ๆ คิดว่าจะทำอะไรต่อไปดีกว่ามานั่งเสียใจ หรือมานั่งคิดว่า ตายล่ะเรียนมาแล้วไม่ได้ทำงานให้ตรงกับสาขาที่เรียนมา ให้ดูพ่อเป็นตัวอย่างเรียนหมอไม่จบแล้วต้องกลับมาบ้าน แล้วเป็นยังไงไหม?? ใช่ว่าชีวิตจะต้องมาจบอยู่แค่นั้น ก็เสียใจที่ไม่จบ แต่ไม่ได้เสียใจมาก เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป พ่อหาตัวเองเจอว่า มาเลี้ยงวัวแล้วดี มีความสุข เมื่ออายุ 38 เราอายุยังน้อยอยู่ค่อย ๆ หาไปว่าตัวเองชอบทำอะไร ทำอะไรก็ได้ที่เราชอบ พ่อไม่ว่า ถึงจะไม่ได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาก็ไม่เป็นไร มันไม่จำเป็น ที่เราเรียนจบ ป.ตรีก็ถือซะว่ามัน ทำให้เราเกิดทักษะ ไม่ต้องคิดมากนะ

จบค่ะ
จากชีวิตที่บางคนไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมถึงไม่เรียนโทต่อ เพราะพื้นฐานครอบครัวที่พ่อสอนมาว่า อะไรก็ได้ที่เราทำแล้ว เรารู้สึกสบายใจ

ต้นแอปเปิ้ล

กาลครั้งหนึ่งมาแล้ว มีต้นแอปเปิ้ลใหญ่อยู่ต้นนึง
เด็กชายเล็กๆคนนึงชอบที่จะมาเล่นรอบๆต้นแอปเปิ้ลนี้ทุกวัน
หนูน้อยจะปีนต้นไม้เล่น ปลิดลูกแอปเปิ้ลมากินและก็งีบหลับใต้ต้นไม้นั้น
หนูน้อยรักต้นแอปเปิ้ลมาก และต้นแอปเปิ้ลก็รักแกเช่นกัน

แต่เวลาผ่านไป.... เด็กน้อยโตขึ้น
และไม่มาเล่นใต้ต้นแอปเปิ้ลทุกวันเหมือนก่อนแล้ว
วันนึง เด็กชายกลับมาพร้อมกับท่าทางหงอยเหงา
”มาเล่นด้วยกันเถอะ” ต้นแอปเปิ้ลชวนเด็กชาย
”ฉันไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่อยากเล่นรอบต้นไม้อีกแล้ว “
เด็กชายตอบ “ฉันอยากเล่นของเล่น แต่ไม่มีเงินซื้อมัน”
”เสียใจด้วย ฉันก็ไม่มีเงิน...แต่เธอพอจะเก็บลูกแอปเปิ้ลของฉันไปขายได้นะ
เธอจะได้มีเงิน” ต้นแอปเปิ้ลกล่าว
เด็กใจดีใจมาก เก็บลูกแอปเปิ้ลจนหมดต้น
และจากไปอย่างมีความสุข และก็ไม่ได้กลับมาอีกเลยหลังจากนั้น
ทิ้งให้ต้นแอปเปิ้ลเสียใจ

วันนึง ต้นแอปเปิ้ลตื่นเต้นที่เห็นเด็กชายกลับมา
”มาเล่นด้วยกันเถอะ” ต้นแอปเปิ้ลชวน
”ฉันไม่มีเวลาที่จะเล่นแล้ว ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัวของฉัน
เราต้องการจะสร้างบ้าน เธอพอจะช่วยฉันได้ไหม?”
”เสียใจด้วย
ฉันไม่มีบ้านจะให้เธอ...แต่เธอพอจะตัดกิ่งของฉันไปสร้างบ้านของเธอได้นะ”
เด็กชายจึงตัดกิ่งแอปเปิ้ลหมด และจากไปพร้อมกับความสุข
ต้นแอปเปิ้ลดีใจที่เห็นเด็กน้อยมีความสุขแต่เด็กชายก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
ทิ้งให้ต้นไม้ต้องเสียใจและเดียวดายเช่นเคย

วันนึงในฤดูร้อน เด็กชายได้กลับมาอีก ต้นแอปเปิ้ลดีใจมาก
”มาเล่นด้วยกันเถอะ” ต้นแอปเปิ้ลชวน
”ฉันแก่มากจนเล่นไม่ไหวแล้วฉันอยากจะไปแล่นเรือเพื่อพักผ่อนในช่วงสุดท้าย
มีเรือให้ฉันยืมบ้างไหม?”
”ใช้ลำต้นฉันมาสร้างเรือสิ เธอจะได้แล่นเรือไปไกลตามที่ต้องการ”
เด็กชายจึงตัดต้นไม้มาสร้างเรือ และเขาก็แล่นเรือจากไป
ไม่ได้กลับมาให้เห็นอีกนาน

สุดท้าย หลายปีผ่านไป เด็กชายก็กลับมา
”ฉันเสียใจด้วย เด็กน้อยของฉัน
ฉันไม่มีอะไรเหลือจะให้เธออีกแล้ว แม้แต่ลำต้นให้ปีนก็ไม่มี”
ต้นแอปเปิ้ลกล่าว
”ฉันก็แก่เกินไปแล้วเหมือนกัน” เด็กชายตอบ
”สิ่งเดียวที่ฉันพอจะเหลือให้เธอได้คือ รากที่กำลังจะตายของฉันเท่านั้นเอง”
ต้นไม้ร้องไห้
”ฉันไม่ต้องการอะไรมากหรอก นอกจากที่ซึ่งจะได้เอนกายพักผ่อน
ฉันเหนือ่ยล้ามาหลายปีแล้ว” เด็กชายตอบ
”ดีเลย รากไม้นี่แหละคือที่ๆดีที่สุดที่จะเอนกาย นั่งลงสิและพักผ่อนเถิด”
เด็กชายนั่งลง ต้นแอปเปิ้ลดีใจมาก และยิ้มทั้งน้ำตา....

นี่คือเรื่องราวของเราทุกคน
ต้นแอปเปิ้ลก็เปรียบได้กับพ่อแม่ของเรา
ตอนเรายังเด็ก เราอยากเล่นกับพ่อแม่ของเรา
แต่พอเราโต เราก็จากพวกเขาไป
จะกลับมาก็ต่อเมื่อ เรามีปัญหาและต้องการความช่วยเหลือ
แต่อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ของเราก็ยังอยู่ที่นั่นเสมอ
คอยให้ทุกอย่างเพื่อให้เรามีความสุข

คุณอาจจะคิดว่าเด็กชายในเรื่องช่างโหดร้ายต่อต้นแอปเปิ้ล
แต่เราล่ะ ไม่ได้ทำเช่นเดียวกันกับพ่อแม่ของเราหรือ.....

ความเหมือนที่แตกต่างระหว่างภาษาไทยกับ Windows

พหุบัญชร หมายถึง Windows หรือหน้าต่างหลายๆบาน
คำว่าพหุ แปลว่า มาก,หลาย
และบัญชร แปลว่า หน้าต่าง

จุดอิทธิฤทธิ์ ฟังดูน่าตื้นเต้นดีไหม แปลตรงตัวได้ว่า PowerPoint

พหุอุบลจารึก รวมแล้วแปลว่า Lotus Notes
สำหรับคำว่าอุบล หมายถึง ดอกบัว

ภัทร สั้นง่ายได้ใจความ ภัทร แปลว่าดี, เจริญ, ประเสริฐ
ซึ่งก็คือ EXCEL นั่นเอง

ปฐมพิศ ปฐม แปลว่าพื้นฐาน หรือ Basic
พิศ แปลว่าการมอง คล้ายๆกับ Visual
เหมาเป็น Visual Basic

พหุภาระ Multitasking คำว่าพหุถูกนำมาใช้อีกแล้ว
ก็ดันทำหลายงานพร้อม ๆ กันเลยเป็นพหูพจน์นะซิ

แท่งภาระ ชุดต่อเนื่องของคำว่าภาระ หรือ Task
ดังนั้นแท่งภาระจึงหมายถึง Taskbar

แท่งหฤหรรษ์ แปลได้ความหมายดีมากคือ Joystick
เพราะใช้ในการเล่นเกมทำให้เกิดความสุข

สรรค์ใน สรรค์ หมายถึงสร้าง ซึ่งก็คือ Build รวมกับในหรือ in
เป็น Build-in

ยืนเอกา เอกา แปลว่า โดดเดี่ยว, ยืนแปลว่าไม่ได้นั่ง
รวมความได้ว่าไม่ได้นั่งคนเดียว หรือยืนคนเดียว หรือ
Standalone

จิ๋วระทวย อย่าแปลเอง ฟังก่อน
Micro แปลว่าเล็ก, จิ๋ว
ส่วน Soft แปลว่าอ่อน, นุ่ม
ดังนั้นจิ๋วระทวยหมายถึง Microsoft ว่าแล้วก็ตัวใครตัวมันนะ

สำหรับสุภาพบุรุษนักรัก ( ผู้ยิ่งใหญ่ )

ความรักคืออะไรกันแน่ มีคนให้คำจำกัดความไว้มากมาย
แต่ก็ไม่มีใครสามารถหาคำตอบที่แท้จริงได้
แต่ถึงอย่างไรก็ตามความรักก็เป็นสิ่งที่ดี งดงามและมีคุณค่า
ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจของคนทุกคน เอ้า !
มาทำความเข้าใจกับความรักและเป็นนักรักที่ดีกันเถอะ

=^o^= รักแรกพบ
เรียกให้โก้ๆ ตามฝรั่งเขาเรียกว่า love at first sight ว้าว!
ฟังดูโรแมนติคจัง
คนที่เคยมีความรักแบบนี้มาแล้ว ก็คงจะเข้าใจ
และรู้ถึงความตื่นเต้นในครั้งนั้นได้ดี
แต่ใครที่ยังไม่เคยพบมาก่อน อาจจะเห็นว่าไม่ดีเลย
รักแรกพบจะรักไปได้ยังไง เพิ่งรู้จักกันแท้ ๆ
คนแบบนี้ก็คงจะคอยรักชนิดที่มีเหตุผล ก็คงต้องรอหน่อยก็แล้วกัน
รักแรกพบก็มักจะเกิดขึ้นกับหนุ่มสาวอย่างพวกเราเนี่ยแหละ
คนเราเมื่อพบรักแรกพบมักจะรู้สึกว่า . . ใช่เลย!
คนนี้ที่รอคอยทั้งรูปร่าง หน้าตา กิริยาท่าทาง มันถูกใจซะหมด
แบบนี้เขาเรียกว่าถูกชะตาจ้ะ

=^o^= รู้สึกอย่างไรเมื่อเวลาพบคนถูกใจครั้งแรก
แน่นอนร้อยทั้งร้อยต้องตอบว่าดีใจมาก มีความสุขมาก
กลับไปถึงบ้านก็อยากจะพบเขาอีก แต่ก็มีหลาย ๆ
คนที่กลับมานั่งกลุ้มใจคิดไปต่าง ๆ นานา
เอ! เขาจะสนเรามั้ยน้า เราถูกใจเขาไหม เขามีใครหรือยัง
ความรักก็เลยกลายเป็นความกลัวไป

=^o^= อดีตเป็นสิ่งที่เราอยากรู้
เมื่อไม่สบายใจ ก็ต้องหาทางออก หลาย ๆ ราย เริ่มหาข้อมูลมาเพิ่มเติม
เพื่อช่วยในการตัดสินใจว่าจะชอบเขาต่อไปดีรึเปล่า
แต่ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะคิดว่า . . . ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรก็ขอรักไว้ก่อน
ใช่มั้ยล่ะ ! การที่สืบประวัติเกี่ยวกับเขา จะเป็นการทำให้เรากังวลมากขึ้น
เพราะอาจจะทำให้เรารู้ข้อบกพร่องของเขาเพิ่มเติม
ก็ยิ่งไม่สบายใจเข้าไปใหญ่ ทำให้เราไม่กล้า
ความสัมพันธ์ก็เลยหยุดอยู่แค่นั้น .
. . อย่าคิดมากน่า . . .
ในความเป็นจริงแล้ว ทุกคนก็มีข้อบกพร่องด้วยกันทั้งนั้นแหละ

=^o^= แล้วทำตัวอย่างไรดี
ถ้าคิดจะเลิกก็เลิกไปเลย
แต่ถ้าคิดอยากจะผูกสัมพันธ์ต่อ ก็คงต้องเตรียมใจกันไว้บ้าง
ก่อนอื่นเราก็ต้องเข้าใจว่า เราเป็นฝ่ายไปชอบเขาก่อน
โดยที่เขาอาจจะยังไม่รู้ตัว
ดังนั้น อย่าคาดหวังว่า สิ่งที่เราทำลงไป จะได้รับผลตอบแทนคืนมา
อย่าน้อยใจไปเลยน่า อย่างน้อยการที่เรารู้สึกดี ๆ
กับใครสักคน ก็ทำให้ใจเราเต้นตูมตาม น่าตื่นเต้นดีออก

=^o^= ข้อแนะนำ
1. คิดซะว่าทำให้ดีที่สุดเพื่อผสานไมตรีต่อไป ก็คงเป็นหน้าที่ของเรา
เพราะเราไปชอบเขาก่อนนี่ หนักหนาแค่ไหนก็ต้องยอมละ
เหมือนกับว่าเรากำลังปีนยอดเขาที่มี "เขา" ไปยืนคอยอยูแล้ว
เขาไม่เหนื่อยเหมือนเราหรอก

2. ต้องนี่เลยความกล้า จำไว้ ! ถ้าคิดจะรัก . . . ต้องมีความกล้าหาญ
คนอ่อนแอมีความรักไม่ได้หรอก

3. ความมั่นใจพกมาให้เต็มกระเป๋า เชื่อมั่นว่าเรามีค่าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ถ้าคิดว่าตัวเองไม่มีค่าอะไรเลย ก็อยู่คนเดียวต่อไปเถอะ
ก็ใครเขาอยากจะอยู่กับคนที่ไม่มีค่ากันล่ะ

4. มีความอ่อนโยน พูดจาน่าฟังแต่ต้องไม่เวอร์
และที่สำคัญจริงใจไว้ก่อน

5. ทำตัวให้สนุกสนาน ร่าเริง ไม่มีใครอยากอยู่กับคนเจ้าทุกข์หรอก
อย่าคิดว่าเขาจะมาปลอบเราแต่ เราสิควรเป็นฝ่ายปลอบหรือให้กำลังใจเขา

6. ความเป็นเพื่อนที่ดี อย่าเพิ่งหวังความรัก มันเร็วไป

7. ท่องเอาไว้ในใจเลย " ความปรารถนาดี ๆ เราจะมีให้กับเขา "
จะยินดีเมื่อเขาเป็นสุข และช่วยเหลือเมื่อเขาทุกข์

8. ได้แค่ไหนก็แค่นั้น นึกในใจแค่นี้ก็พอ ฟังดูอาจเหมือนอีตาช่างตื๊อ
แต่จริง ๆ แล้วมันคือการแสดงความอดทน ความใส่ใจต่างหากล่ะ

สิ่งเหล่านี้มันอาจจะดูเหมือนทำยากสักหน่อย แต่ถ้าทำได้ก็จะสบายใจดี
มีความรักได้อย่างมีความสุข สมกับเป็น " สุภาพบุรุษนักรักผู้ยิ่งใหญ่ " ไงล่ะ

มือใหม่..หัดเดท

สำหรับสาวๆ ที่กำลังจะมีเดทกับชายหนุ่มแล้วหล่ะก้อ...
นี่คงเป็นเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับเพื่อนๆ นะครับ...
เนื่องจากเราได้ชายหนุ่ม ซึ่งเป็นปุถุชน พูดจาดีมีศีล 5 มาคนหนึ่งแล้ว
เขาจะเป็นโรคช่างหมั่นโทรมาหาเราบ่อย ๆ
จนคิดว่า บุพการีมันต้องมีหุ้นส่วนในองค์การโทรศัพท์แน่ ๆ
และโทรมาแต่ละครั้งนั้น ก็จะพูดจาจนมดเลี่ยนตาย เช่น " จ๊ะจ๋า..."
อะไรประมาณเนี้ยทำให้เริ่มแน่ใจอีกอย่างว่า
นอกจากจะมีหุ้นในองค์การโทรศัพท์แล้ว
ยังมีอาชีพเก็บน้ำหวานขายเป็นอาชีพเสริม...
เหตุการณ์อย่างนี้ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า "ผู้ชายโทรมาจีบ "
แต่อย่าตกใจไป เขาไม่ได้โทรมาขายประกัน
แต่เขาจะโทรมาขอความรักต่างหาก
เค้าจะโทรมาวันละหลาย ๆ ครั้ง
ถามสารทุกข์สุขดิบ รายงานว่ากำลังทำอะไรอยู่
หรือบางทีอาจจะรายงานสภาพการจราจร
จนถึงจุดหนึ่งแล้วเค้าจะชวนเราไปออกเดท...

หลายคนอาจดีใจมาก ไม่คิดว่า เกิดมาชาตินี้จะได้ออกเดท
แต่ขอให้เก็บอาการไว้นิดส์นึง
อาจจะต้องตอบปฏิเสธไปก่อนเพื่อนให้ตัวเอง มีค่าเช่น
"จะดีหรือคุณ......เราพึ่งรู้จักกันนะ" หรือ
"ฉันคงติดประชุมสมาคมผู้ค้าส่งสุกรส่งออกค่ะ"
แต่หากใครปฏิเสธไม่ได้ ผมขอแนะนำให้เจอกันครึ่งทางคือ
การไปออกเดทรอบ Preview ก่อน อาจจะเป็นเซเว่นหน้าปากซอย
ไปเดินป้อนบิ๊กเปาหน้าเคาท์เตอร์ แคชเชียร์
เอา Foot Long มาไล่ตีกัน
เหอะๆ..กระหนุงกระหนิง
การไปเดทรอบ Preview นั้น
ก็ถือเป็นการทดลองสินค้าก่อนตัดสินใจไปซัก 2-3 รอบ
ถ้าถูกใจค่อยออกไปเดทรอบจริง......

แต่ทีนี้ก็มาถึงวันสำคัญ สำหรับมือใหม่หัดเดท
ก่อนออกจากบ้านอาจจะรู้สึกประหม่า ไม่มั่นใจ
เหมือนขาดผ้าอนามัยในวันมามาก
เสื้อผ้าอาจจะเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ยิ่งกว่านางแบบหลังแคทวอล์ก
หรือถ้าไม่ดีขึ้น อาจจะลองไปวิ่งรอบวงเวียนใหญ่แบบทวนเข็มนาฬิกาสัก 7 รอบ
จะหายตื่นเต้นเป็นปลิดทิ้ง (กลายเป็นเหนื่อยแทน)

การออกเดทแบบ Basic
คือต้องไปดูหนังโรแมนติกถึงโรแมนติกคอมเมดี้เป็นอย่างต่ำ เช่น
Notting Hill หรือเถี่ยนมีมี่เวลาดูจะได้ซ้ำอินไปกับหนัง
ฉากที่พระเอกสารภาพรักกับเพื่อนนังอิจฉาในหนังก็สวีทกันไป
มือของเราทั้ง 2 ก็มาสัมผัสกันโดยบังเอิญในถุงป๊อปคอร์น
กระแสไฟฟ้าสถิตย์ก็สปาร์คขึ้น
เราทั้งคู่ชักมือออกจากถุงพร้อมกัน ป๊อปคอร์นกระจายเต็มพื้น
ตาประสานกันและยิ้มให้กันโดยมิได้นัดหมาย
ตอนนี้แหละ โรแม้นสุดๆ กรุณาค้างไว้นาน ๆ
ห้ามก้มเก็บป๊อปคอร์นที่ตกพื้นขึ้นมากินเด็ดขาด
เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเราไร้อารยธรรม
พอออกจากโรงหนังถ้าเค้าถือโอกาสจับมือเรา
อย่าพึ่งให้เค้าจับนะครับ เดี๋ยวสื่อมวลชนจะลงข่าว หาว่าเราใจง่าย
บอกกับเค้าว่าเราเพิ่งรู้จักกันอย่าพึ่งจับมือเลย
ถ้าเค้าเป็นคนไม่ใช่กระบือพูดดีๆ มีเหตุผลก็น่าจะเข้าใจ
แต่ถ้าพูดไม่ฟังแนะนำให้คลุกวงใน แล้วตีเข่าสั่งสอนได้เลย
และตามด้วยหนุมานถวายแหวน จะทำให้พูดง่ายขึ้น 3 %

ดูหนังเสร็จก็ต้องกินข้าว
ขอแนะนำให้กินอาหารที่กินง่าย ๆ
อย่ากินอาหารที่กินยาก ยิ่งพวกปะหมี่อะไรพวกเนี้ย ลืมไปได้เลย
ลองคิดดูสิ ถ้าชวนกันไปกินชายสี่หมี่เกี๊ยวจะเป็นไง
โอโห....นั่งดูดบะหมี่น้ำซุปกระจาย
หากดูดแรงไปจะทำให้เส้นบะหมี่ไปฟาดหน้าเค้า
เสียโฉมขึ้นมาล่ะแย่เลย

อีกอย่าง ก๋วยเตี๋ยวจะมีส่วนผสมของผักชีต้นหอม กินเสร็จก็มักจะติดฟัน
แต่ถ้าหากใครที่ติดก๋วยเตี๋ยวมากต้องกินเป็นสรณะ
ผมก็มีวิธีมาแนะนำ "กินอย่างไรให้สวย"
ขั้นแรกต้องสั่งก๋วยเตี๋ยวน้ำ เส้นอะไรก็ได้แล้วแต่ชอบ อันนี้ไม่บังคับ
วิธีกินให้คีบก๋วยเตี๋ยวใส่ช้อนทีละประมาณ 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร
แล้วค่อย ๆ ประคองเข้าปากนั่นแหละ...อ้ำทีละคำ 2 คำ
สลับกับตักน้ำซุปแก้ติดคอ แต่เดี๋ยวก่อน !
น้ำซุปอย่าพึ่งซดหมดนะครับ...
เหลือติดชามไว้สัก 7 ลูกบาศก์เซนติเมตร
เอาไว้กลั้วปากป้องกันผักติดฟัน
แค่นี้เอง

หลังจากเที่ยวกันหนำใจแล้ว ก็ควรรีบกลับบ้าน
เด็กดีปี 2000 ไม่ควรกลับบ้านดึกนะครับ
เดี๋ยวพ่อแม่จะเป็นห่วง แน่นอนเค้า ต้องมาส่งเราถึงหน้าบ้าน
(แต่ถ้าเค้าทำท่าทางเป็นอิดออด
เราก็จำเป็นต้องใช้เสน่ห์หญิงสาว 300 เล่มเกวียน
หลอกล่อให้เค้ามาส่งจนได้
เพราะเป็นหญิงสาวไม่ควรกลับบ้านคนเดียว)
ก่อนลงจากรถควรมีคำพูดดี ๆ
พูดกับเขาให้ประทับใจไปจนชั่วลูกชั่วหลาน
เช่น "เดี๊ยนไม่ เคยสุดเหวี่ยงอย่างนี้มาก่อนเลยค่ะ" หรือ
"คุณค่ะ...บ้านฉันอยู่อีกซอยค่ะ"

เพียงเท่านี้เองก็จบวันแรกสำหรับมือใหม่หัดเดทแล้วนะครับ...
จะลองเอาไปใช้ดูก็ได้นะครับ....^-^

คุณจะทำอะไรในวันแม่

@@@...คุณอาจเป็นคนหนึ่งที่สัมผัสความรู้สึกแบบนี้...@@@

คุณคงอ่านกระทู้มาเยอะ
นี่เป็นอีกกระทู้ที่ผมอยากเล่าสู่กันฟังครับ
คุณอาจเป็นคนหนึ่งที่เคยสัมผัส แค่บางเหตุการณ์ในนี้
แต่คุณอาจลืมมันไปแล้ว...

เวลาไม่มีเงิน...........คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและ แม่
แต่พอมีเงิน.............คนแรกที่คิดถึงคือแฟน และเพื่อน

อยากได้รถ.............คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและ แม่
แต่พอมีรถ..............คนแรกที่จะไปรับคือแฟน และเพื่อน

ร้านอาหารหรูๆ บรรยากาศคลาสิค.....มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน
อาหารบนโต๊ะที่บ้าน.......................มีสำหรับพ่อและแม่

โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า.......มีไว้สำหรับแฟน และเพื่อน
ทีวี และสวนหน้าบ้าน...........มีไว้สำหรับพ่อ และแม่

พ่อ และแม่ คิดบัญชีค่าใช้จ่ายก่อนนอน..เพื่อความอยู่รอด
ลูกนอนคุยโทรศัพท์ เล่นเนต ก่อนนอน...เพื่อให้หลับฝันดี

เวลาเรามีความสุข............มักจะมองหาแฟน และเพื่อน
เวลาเรามีความทุกข์..........คนที่กังวล หดหู่ และเศร้าสลดใจ คือพ่อ และแม่

เวลาประสบความสำเร็จ........เรามักมองหาแฟน
และเพื่อนเพื่อนัดฉลองและสังสรร.....แต่คนที่ดีใจที่สุดคือพ่อและแม่
.........แต่กลับกลายเป็นคนที่เรามองข้ามไป

ลูกไปรื่นเริงตามโรงหนัง เธค ผับ โต๊ะสนุ๊ก ฯลฯ
.......พ่อและแม่ กำลังทำงาน หรือนอนหลับเก็บแรง
ไว้ทำงานหาเงินในวันรุ่งขึ้น เพื่อแลกความสุขของลูก อยากให้ลูกเรียนสูงๆ

เวลาแต่งงาน.......คนที่เป็นธุระหาสินสอดทองมั่นคือพ่อและแม่
.........คนที่มีความสุขคือลูก

พ่อ และแม่ตำหนิ ตักเตือน บางครั้งเต็มไปด้วยอารมณ์............เพื่อให้ลูกได้ดี
แต่ลูกคิดว่าสิ่งที่ พ่อและแม่พูด.......เป็นแค่เรื่องไร้สาระ

พ่อ และแม่...คือผู้ฝ่าฟันปัญหาเป็นร้อยพันประการ เพื่อลูก
แต่พอลูกมีปัญหา....มักคิดได้แค่ ท้อถอย หดหู่ หรืออยากตาย!!!!

พ่อ และแม่คือผู้ที่ปกป้อง และยืนเคียงข้างลูก จวบจนชีวิตจะหาไม่
ลูกกำลังคิดถึงสิ่งใด...???

เดือนหน้า...เดือนแห่งผู้ที่เราเรียกว่า..."แม่"...มาตั้งแต่ยังแบเบาะ
คำว่า "แม่" อาจเป็นคำแรกที่เราพูดได้ ตั้งแต่เกิด

ผมเคยผ่าน เหตุการณ์ที่เขียนมา ที่เหลือคืองานแต่งงาน
และก็คงจะไม่รบกวนท่านแล้ว...
จนวันหนึ่งมานั่งทบทวน
เหตุการณ์ต่างๆ........หลายๆเหตุการณ์...ผมนึกถึงแต่ตัวเอง
และไม่มีอะไรมาเตือนสติ... ตั้งแต่วันนั้น จนวันนี้
และตลอดไป "แม่" คือคนที่เราต้องคิดถึงเป็นอันดับแรก

แล้วคุณเตรียมอะไรไว้เพื่อ คุณแม่ของคุณ
หรือคนที่ดีเทียบเท่าแม่ของคุณ ในเดือนหน้าหรือยังครับ

เรื่องซึ้ง ๆ ระหว่างพ่อกับลูกชาย

ชายหนุ่มเลิกงานและกลับเข้าบ้านช้า ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า
และพบว่าลูกชายวัย 5 ขวบรอคุณพ่ออยู่ที่หน้าประตู

ลูก "พ่อครับ พ่อผมมีคำถามถามพ่อข้อนึง"
พ่อ "ว่ามาสิลูก,อะไรเหรอ"
ลูก "พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่"
พ่อ "ไม่ใช่โกงการอะไรของลูกนี่, ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ" พ่อตอบด้วยความโมโห
ลูก "ผมอยากรู้จริง ๆ โปรดบอกผมเถอะ พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่"
ลูกพูดร้องขอ
พ่อ "ถ้าจำเป็นจะต้องรู้ละก็ พ่อได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญ"
ลูก "โอ.." ลูกอุทาน แล้วคอตก พูดกับพ่ออีกครั้ง
ลูก "พ่อครับ ผมอยากขอยืมเงิน 10เหรียญ"
พ่อกล่าวด้วยอารมณ์
พ่อ "นี่เป็นเหตุผลที่แกถาม เพื่อจะขอเงิน แล้วไปซื้อของเล่นโง่ ๆ
หรืออะไรที่ไม่เข้าท่าหรอกเหรอ รีบขึ้นไปนอนเลยนะแล้วลองคิดดูว่าแกน่ะ
เห็นแก่ตัวมาก ชั้นทำงานหนักหลาย ๆ ชั่วโมงทุกวัน และไม่มีเวลาสำหรับเรื่อง
เด็กๆ ไร้สาระอย่างนี้หรอก"

เด็กน้อยเงียบลง เดินไปที่ห้องแล้วปิดประตู ชายหนุ่มนั่งลงและยังโกรธอยู่
กับคำถามของลูกชาย เค้ากล้าที่จะถามคำถามนั้น เพื่อจะขอเงินได้อย่างไร
หลังจากนั้นเกือบชั่วโมงอารมณ์ชายหนุ่มก็เริ่มสงบลง และเริ่มคิดถึงสิ่งที่ทำ
ลงไปกับลูกชายตัวน้อย บางทีเขาอาจจำเป็นต้องใช้เงิน 10 เหรียญนั้นจริง ๆ
และลูกก็ไม่ได้ขอเงินเขาบ่อยนัก ชายหนุ่มจึงเดินขึ้นไปบนห้องแล้วเปิดประตู

พ่อ "หลับหรือยังลูก"
ลูก "ยังครับ"
พ่อ "พ่อมาคิดดู เมื่อกี้พ่ออาจทำรุนแรงกับลูกเกินไป
นานแล้วนะที่พ่อไม่ได้คลุกคลีกับลูก , เอ้า นี่เงิน 10 เหรียญที่ลูกขอ"
เด็กน้อยลุกขึ้นนั่ง
ลูก "ขอบคุณครับพ่อ"

ว่าแล้วก็ล้วงลงไปใต้หมอนหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา แล้วนับช้า ๆ
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็โกรธขึ้นอีกครั้ง

พ่อ "ก็มีเงินแล้วนี่ แล้วมาขออีกทำไม"
ลูก "เพราะผมมีไม่พอครับ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว
พ่อครับ ตอนนี้ผมมีเงินครบ 20 เหรียญแล้ว
ผมขอซื้อเวลาพ่อชั่วโมงนึง
....พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านเร็ว ๆ นะครับ ผมอยากกินข้าวเย็นกับพ่อ ..."

คนที่อยู่ใกล้หัวใจคุณมากที่สุด

When you came into the world, she held you in her arms.
You thanked her by wailing like a banshee.
เมื่อคุณกำเนิดมาในโลกนี้ เธออุ้มคุณไว้ในอ้อมอก
คุณขอบคุณเธอโดยการร้องไห้

When you were 1 year old, she fed you and bathed you.
You thanked her by crying all night long.
เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ เธอป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ
คุณขอบคุณเธอโดยการงอแงทั้งคืนวัน

When you were 2 years old, she taught you to walk.
You thanked her by running away when she called.
เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ เธอสอนคุณเดิน
คุณขอบคุณเธอด้วยการวิ่งหนีเมื่อเธอเรียกหา

When you were 3 years old, she made all your meals with love.
You thanked her by tossing your plate on the floor.
เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ เธอทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก
คุณขอบคุณเธอด้วยการโยนจานลงพื้น

When you were 4 years old, she gave you some crayons.
You thanked her by coloring the dining room table.
เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ เธอให้ดินสอสีคุณ
คุณขอบคุณเธอด้วยการระบายสีบนโต๊ะอาหาร

When you were 5 years old, she dressed you for the holidays.
You thanked her by plopping into the nearest pile of mud
เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ เธอแต่งชุดเก่งให้คุณเพื่อไปเที่ยว
คุณขอบคุณเธอด้วยการทำชุดเก่งนั้นเปื้อนโคลนเลอะเทอะ

When you were 6 years old, she walked you to school.
You thanked her by screaming, "I'M NOT GOING!"
เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ เธอเดินไปส่งคุณไปโรงเรียน
คุณขอบคุณเธอด้วยการกรีดร้องว่า "ไม่ไป!!!"

When you were 7 years old, she bought you a ball.
You thanked her by throwing it through the next-door-neighbor's window.
เมื่อคุณอายุได้ 7 ขวบ เธอซื้อบอลให้คุณ
คุณขอบคุณเธอด้วยการไปทำหน้าต่างของเพื่อนบ้านแตก

When you were 8 years old, she handed you an ice cream.
You thanked her by dripping it all over your lap.
เมื่อคุณอายุได้ 8 ขวบ เธอซื้อไอศกรีมให้คุณ
คุณขอบคุณเธอด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว

When you were 9 years old, she paid for piano lessons.
You thanked her by never even bothering to practice.
เมื่อคุณอายุได้ 9 ขวบ เธอสอนเปียโนให้คุณ
คุณขอบคุณเธอด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม

When you were 10 years old, she drove you all day, from soccer
to gymnastics to one birthday party after another.
You thanked her by jumping out of the car and never looking back.
เมื่อคุณอายุ 10 ขวบ เธอขับรถไปส่งคุณทั้งวัน ตั้งแต่สนามบอล, โรงยิม, ยันงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนแต่ละคน
คุณขอบคุณเธอด้วยการกระโดดออกนอกรถ โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

When you were 11 years old, she took you and your friends to the movies.
You thanked her by asking to sit in a different row.
เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ เธอพาคุณและเพื่อนคุณไปดูหนัง
คุณขอบคุณเธอด้วยการขอนั่งที่นั่งคนละแถว

When you were 12 years old, she warned you not to watch certain TV shows.
You thanked her by waiting until she left the house.
เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ เธอเตือนคุณอย่าดูทีวี
คุณขอบคุณเธอด้วยการรอเธอออกไปก่อน แล้วดูต่อ

When you were 13, she suggested a haircut that was becoming.
You thanked her by telling her she had no taste.
เมื่อคุณอายุ 13 เธอแนะให้คุณตัดผมให้มันดูดี
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่าเธอไม่มีรสนิยมเอาเสียเลย

When you were 14, she paid for a month away at summer camp.
You thanked her by forgetting to write a single letter.
เมื่อคุณอายุ 14 เธอจ่ายค่าซัมเมอร์แคมป์หนึ่งเดือนให้คุณ
คุณขอบคุณเธอด้วยการไม่ได้เขียนจดหมายมาหาเลยสักฉบับนึง

When you were 15, she came home from work, looking for a hug.
You thanked her by having your bedroom door locked.
เมื่อคุณอายุ 15 เธอกลับบ้านหลังเลิกงาน อยากได้กอดสักครั้ง
คุณขอบคุณเธอด้วยการล็อกห้องนอนขังตัวเองในห้อง

When you were 16, she taught you how to drive her car.
You thanked her by taking it every chance you could.
เมื่อคุณอายุ 16 เธอสอนคุณขับรถ
คุณขอบคุณเธอด้วยการเอารถไปขับทุกเวลาที่คุณจะเอาไปได้

When you were 17, she was expecting an important call.
You thanked her by being on the phone all night.
เมื่อคุณอายุ 17 เธอกำลังรอโทรศัพท์สายสำคัญ
คุณขอบคุณเธอด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้น

When you were 18, she cried at your high school graduation.
You thanked her by staying out partying until dawn.
เมื่อคุณอายุ 18 เธอร้องไห้ในวันที่คุณเรียนจบมัธยม
คุณขอบคุณเธอด้วยการฉลองยันเช้า

When you were 19, she paid for your college tuition, drove you
to campus carried your bags.
You thanked her by saying good-bye outside the dorm so you
wouldn't be embarrassed in front of your friends.
เมื่อคุณอายุ 19 เธอจ่ายค่ากวดวิชา ขับรถไปรับไปส่ง
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกลาข้างนอกเพื่อที่จะไม่ได้อายเพื่อน

When you were 20, she asked whether you were seeing anyone.
You thanked her by saying, "It's none of your business."
เมื่อคุณอายุ 20 เธอถามคุณว่ามีแฟนหรือยัง
คุณขอบคุณเธอด้วยการพูดว่า ไม่ใช่เรื่องของเธอสักหน่อย

When you were 21, she suggested certain careers for your future.
You thanked her by saying, "I don't want to be like you."
เมื่อคุณอายุ 21 เธอแนะนำอาชีพให้คุณสำหรับอนาคต
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า คุณไม่อยากเป็นอย่างเธอ

When you were 22, she hugged you at your college graduation.
You thanked her by asking whether she could pay for a trip to Europe.
เมื่อคุณอายุ 22 เธอกอดคุณวันรับปริญญา
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า อยากได้รางวัลไปเที่ยวยุโรปสักครั้ง

When you were 23, she gave you furniture for your first apartment.
You thanked her by telling your friends it was ugly.
เมื่อคุณอายุ 23 เธอให้เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งในอพาร์ตเมนท์แห่งแรกของคุณ
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกเพื่อนๆ ว่า มันช่างน่าเกลียดเสียนี่กระไร

When you were 24, she met your fiance and asked about your plans for the future.
You thanked her by glaring and growling, "Muuhh-ther, please!"
เมื่อคุณอายุ 24 เธอพบคู่หมั้นคู่หมายของคุณและถามคุณเกี่ยวกับแผนการในอนาคตน
คุณขอบคุณเธอด้วยการจ้องมองเขม็งพร้อมพูดว่า "แม่ โปรดเถอะอย่ายุ่งกับเรื่องนี้"

When you were 25, she helped to pay for your wedding, and she cried
and told you how deeply she loved you.
You thanked her by moving halfway across the country.
เมื่อคุณอายุ 25 เธอช่วยคุณจ่ายค่าใช้จ่ายงานแต่งงานและสินสอด
ร้องไห้และบอกคุณว่าเธอรักคุณแค่ไหน
คุณขอบคุณเธอด้วยการย้ายไปอีกฟากหนึ่งของประเทศ

When you were 30, she called with some advice on the baby.
You thanked her by telling her, "Things are different now."
เมื่อคุณอายุ 30 เธอโทรมาหาพร้อมกับแนะนำเรื่องการเลี้ยงเด็ก
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว

When you were 40, she called to remind you of an relative's birthday.
You thanked her by saying you were "really busy right now."
เมื่อคุณอายุ 40 เธอโทรมาเตือนความจำคุณเกี่ยวกับวันคล้ายวันเกิดญาติ
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า ตอนนี้ไม่ว่างเลย

When you were 50, she fell ill and needed you to take care of her.
You thanked her by reading about the burden parents become to their children.
เมื่อคุณอายุ 50 เธอเริ่มชราและไม่ค่อยสบาย ต้องการให้ดูแล
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่ามันเป็นภาระแค่ไหนที่จะต้องเลี้ยงดูเธอ

And then, one day, she quietly died. And everything you never did
came crashing down like thunder.
"Rock me baby, rock me all night long."
และแล้ว วันหนึ่ง เธอจากไปอย่างเงียบสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยกระทำ
จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณอ
"เรียกแม่ไปเถอะลูก เรียกตลอดทั้งคืนนะ"

Please paid little bit attention to the one you called "mom" .
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถีงความลึกซึ้งแด่คนที่เราเรียกว่าแม่
แม้จะไม่กล้าพูดออกมาก็ตามถีงอบ

Nothing can replace her although sometimes she is not the one who
mostly understand in you.
ไม่มีอะไรแทนที่เธอได้
แม้ว่าบางคราวเธออาจจะไม่ได้เป็นคนที่เข้าใจคุณมากที่สุด หรืออาจไม่เห็น

Or she may not agree with your thought but she still your "mom" andyou can
believe that she can do everything for you.
ด้วยกับความคิดของคุณ แต่เธอก็คือแม่ของคุณ
และเชื่อได้ว่าเธอจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังทุกปัญหาทุกความกังวล

Listen to your problems, every anxious . Do you have more time to
listen to her worry from work?
ถามตัวคุณเองดูเถิด
คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้าความกังวลใจของเธอจากการทำงาน หรือจากในครัวไหมน

Do you used to concern about her tired? Please love her so much although
she and you have the conflict because when she pass away.
คุณเคยคิดถึงความเหนื่อยยากของเธอไหม
รักเธอให้มากแม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างกัน เพราะเมื่อเธอจากไป

It's remain the memory and sad. Do not ignore the one who closely to your heart?
Love her more than you love yourself
จะเหลือเพียงความทรงจำและความเสียใจเท่านั้น
อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รักเธอให้มากกว่าที่คุณรักตัวเอง

รัก ...ไม่มีเงื่อนไข

อยู่มาวันหนึ่งผมก็เกิดมีชีวิตขึ้นมาผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ผมมีความรู้สึก ผมมีความคิด แต่ผมพูดไม่ได้
ผมไม่ต้องทานอาหารไม่ต้องสืบพันธุ์
ผมสามารถได้ยินในรัศมีไม่เกินสองเมตร
ผมคือโต๊ะอาหารในฟู๊ดเซ็นเตอร์ที่อาคารทีซีซีแห่งนี้
อาคารแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางถนนสีลม ซึ่งเป็นย่านธุรกิจสำคัญ ทุกๆ
วันระหว่างจันทร์ถึงศุกร์สถานที่แห่งนี้จะมีคนทำงาน
ออฟฟิศมากมายมาทานอาหารเที่ยงกัน ในช่วงระหว่างเวลา
เที่ยงถึงราวบ่ายโมงครึ่ง
ด้วยเหตุที่สนนราคาที่ไม่แพงเกินไปสำหรับคนชั้นกลางที่ทำงานในละแวกใกล้เคียง
ผมได้ยินเรื่องราวมากมายจากคนเหล่านี้ไม่ซ้ำหน้าไม่ซ้ำเรื่อง หลากหลายรสชาด
วันนี้ลองดูซิครับว่ามีเรื่องอะไรที่โต๊ะของผมวันนี้ผู้คนดูบางตาไป
เนื่องจากด้านนอกฝนตกในห้องอาหาร ฟาสต์ฟู๊ดวันนี้เลยมีคนน้อยลงไปมาก
เจ้าโต๊ะสอดรู้สอดเห็นอย่างผมเลยพลอยหงอยเหงาห่อเหี่ยวไปด้วย รอบ ๆ
ตัวผมไม่มีผู้คนเลยมีแต่เจ้าโต๊ะเปล่าตั้งอยู่
วันนี้ผมคงจะไม่มีเรื่องน่าสนใจมาเล่า ให้คุณฟังแล้วกระมัง
ผมได้ยินเสียงแว่ว ๆ
ของสุภาพสตรีสองคนด้านหลังทางซ้ายมือ ผมเลยชำเลืองมองดู
(อย่าสงสัยเลยนะครับว่ามองจากอะไร
เพราะผมเป็นโต๊ะผมมีดวงตาที่ไม่เหมือนคนอย่างพวกท่านหรอกครับ )
ผมเห็นสุภาพสตรีอายุราว ๆ 25 ปี สองคนแต่งตัวในชุดทำงาน
ดูเหมือนจะเป็นยูนิฟอร์มของธนาคารใดธนาคารหนึ่งในสีลม คนหนึ่งผมสั้น
อีกคนผมยาวทั้งสองมีถาดอาหารเข้าใจว่าจะเป็นมังสะวิรัติ
เพราะมีแต่ผักเต็มจาน
คนผมยาวนั่งลงก่อนแล้วเอ่ยปากขึ้นว่า “ใจเย็น ๆ น่าเล็ก
ทานไปคุยไปก็ละกันนะ “
น้ำเสียงอ่อนโยนที่แสดงให้เห็นว่าเธอเอาใจใส่เพื่อนของเธอคนนี้มาก
คนผมสั้นเอ่ยตอบว่า “โอเค โอเคฉันเชื่อเธอกบ
เพราะมีแต่เธอแหละที่ฉันกล้าคุยเรื่องในครอบครัวให้ฟัง “ สาวผมสั้นค่อย ๆ
บรรจงวางถาดอาหารลง เธอเริ่มต้นทานอาหารไปอย่างช้า ๆ พร้อม ๆ
กับเอ่ยปากเล่าเรื่องของเธอต่อไปว่า “ฉันละเซ็งคุณแดงสามีของฉันเหลือเกิน
หากฉันจะลิสท์ (list) คุณสมบัติยอดห่วยของสามีฉันละก้อ เธอเอ๋ย
หน้ากระดาษหนึ่งคงไม่พอ กลับบ้านค่ำ แถมเอางาน กลับมาอีก ไม่ชอบดูละคร
ดูแต่เคเบิ้ลทีวี เวลาดูก็หมุนเปลี่ยนทุกช่อง ชอบเก็บกวาดบ้านด้วยตนเอง
ไม่เคยให้ความสนใจดูแลฉันเลย โอ๊ยฉันละเบื่อ ทีกับลูกน้องตัวเองละก็
ประคบประหงมยิ่งกว่าลูกอีก เฮ้อ “ เธอถอนหายใจเสียงดัง หลังจากเล่าจบ
เธอเอ่ยถามคู่หูคนสนิทต่อ
“กบเธอแต่งงานมาตั้งห้าปีแล้วมากกว่าฉันตั้งสามปี
ทำไมไม่เห็นบ่นเรื่องสามีของเธอเลย เธอคงมองโลกในแง่ดีมากเลยนะ
ฉันอิจฉาเธอจังเลย “ กบเอ่ยตอบ
“เล็กฉันก็เคยเป็นอย่างเธอเหมือนกันเมื่อสองสามปีที่แล้ว
วันหนึ่งฉันอัดอั้นมากจนทนไม่ไหว ด้วยสายเลือดเลขามืออาชีพของฉันซึ่ง
เหมือน ๆ
กับเธอนี่แหละ ฉันหยิบกระดาษออกมาแล้วระบายลงไปเลยว่ารายการ
ความห่วยของสามีฉันเป็นอย่างไร เธอรู้ไหมว่าฉันได้กี่ข้อ “
เล็กรีบถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น “กี่ข้อละ “ กบตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“สามสิบสองข้อ เท่ากับขนาดเอวของสามีฉันเลยละ “
เล็กกลั้นหัวเราะไม่อยู่ข้าวในปากกระเด็นออกมา โชคดีที่เธอทานคำไม่โต
เธออุทานกลั้วเสียงหัวเราะว่า “แหมเธอนี่ช่างเปรียบเทียบจริงๆนะ หึ ..หึ
..หึ
“ กบเล่าต่อ “เย็นวันนั้นฉันตั้งใจว่ากลับบ้านแล้วฉันจะส่ง
รายงานชิ้นเอกให้สามีของฉันดู เพียงแต่ว่าฉันต้องไปงานศพลุงของฉันก่อน
พอเลิกงานฉันก็รีบรุดไปงานศพของลุงฉันซึ่งอายุ
เพิ่งห้าสิบเองคุณป้าฉันก็อายุห้าสิบเหมือนกัน

ลุงฉันเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถยนต์คว่ำซึ่งถือว่า
เป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่ได้ คาดคิดมาก่อน
ป้าฉันตกใจมากเธอไม่เคยเตรียมใจสำหรับเรื่องนี้มาก่อน
ฉันสนิทกับป้าฉันคนนี้มากเป็นพิเศษ เมื่อฉันไปถึงงานศพ
ฉันก็ไปนั่งคุยกับคุณป้า
เมื่อไปถึงคุณป้าก็ซึ่งมีสีหน้าเศร้าสร้อยอยู่ก็ดีใจ ที่พบหน้าฉัน
เราสองคนนั่งคุยกันสักพักคุณป้าก็หยิบกระดาษโน๊ต สองสามแผ่นออกมา
แล้วก็ส่งให้ฉันดู ฉันรับมาดูแล้วก็นั่งอ่านในกระดาษนั้น
มีข้อความดังต่อไปนี้
เธอบรรยายข้อความใน กระดาษโน๊ตของป้าเธอต่อ “ถึงสามีที่รัก
วันนี้ทั้งวันฉันนึกถึงเธอตลอด เวลาสิบห้าปีที่เราอยู่ด้วยกัน
ฉันมักจะบ่นต่อว่าในข้อเสียของเธอมาตลอด จนกระทั่งถึงวันที่เธอจากไป
เมื่อฉันมีโอกาสทบทวนดูชีวิตคู่ของเราฉัน พบว่าฉันได้มองข้ามสิ่งดี ๆ
ของเธอไปมากมาย “ กบเล่าด้วยเสียงสั่นเครือ เธอเอ่ยต่อว่า
“ในกระดาษโน๊ตนั้นคุณป้าของฉันบรรยายคุณความดีของลุง
ไว้นับร้อยข้อพอฉันอ่านจบ
น้ำตาของฉันก็นองหน้า “ ป้าฉันเอ่ยกับฉันว่า
“ป้ารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เป็นผู้บอกสิ่งดี ๆ
เหล่านี้ในระหว่างที่คุณลุงของหนู
ยังมีชีวิตอยู่หลานอย่าทำพลาดแบบป้าอีกคนละ “
“ฉันนั่งฟังอยู่แล้วคิดตามไปว่า
มีคนจำนวนมากที่เมื่อคนรักของตนจากไปแล้ว
ค่อยบันทึกคุณความดีของผู้จากไปลงที่หลุมฝังศพ
หรือจัดพิมพ์เป็นเอกสารอย่างดีแต่ว่าผู้จากไปกลับไม่มีโอกาสอ่าน
ซึ่งขณะที่เขามีชีวิตอยู่กับได้ยินแต่สิ่งที่เป็นข้อบกพร่อง
ของเขาคิดได้อย่างนั้น ฉันรีบดึงเอาลิสต์รายการของสามีฉันออกมา
แล้วฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เลิกงานศพแล้วฉันรีบกลับบ้านทันที
พอเจอหน้าสามีฉันก็กระโดดกอดเขาเลย
เสร็จแล้วฉันก็ถือโอกาสาธยายคุณความดีทั้งหลาย ของเขาว่ามีอะไรบ้าง
สามีฉันมีสีหน้าแปลกใจเล็ก ๆ แต่ว่าท่าทีเขาดูอ่อนโยนมากขึ้น
และเอื้ออาทรกับฉันขึ้นมาทันที ฉันเองก็เริ่มมีความรู้สึกที่ดีต่อเขามาก
หากเรารักใครแล้วเราบอกสิ่งที่ดีของเขาให้เขาได้ยิน
เขาก็จะรักเราตอบและบอกสิ่งที่ดีตอบกลับมา
สามีฉันก็เผยความในใจถึงข้อดีของฉันอีกมากมายที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อน
“ตั้งแต่นั้นมาฉันก็เลิกคิดถึงรายการจุดอ่อนของคนที่เรารัก
ฉันคิดว่าเราควรจะรักเขา อย่างที่เขาเป็นแหละ
อย่าไปหวังให้เขาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ที่แตกต่างกับเราเลยความรักที่แท้จริงก็คือ Unconditioning Love คือ
การที่เรารักเขาแล้วไม่ได้ตั้งเงื่อนไขให้เขาเปลี่ยนแปลงอะไร
จงรักเขาอย่างที่เขาเป็น แล้วโฟกัสในสิ่งที่ดีของเขาซะเราก็จะมีความสุข
เขาก็จะมีความสุข “ กบเล่าจบด้วยสีหน้าอิ่มเอิบเล็ก
ซึ่งนั่งฟังอยู่อย่างเงียบ
ๆ นัยน์ตาเธอมีน้ำตาคลอเบ้าอยู่
ในมือเธอกำแน่นด้วยเศษกระดาษลิสต์รายการที่บัดนี้ถูกเธอ
ฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อยู่ ๆ เล็กเอ่ยขึ้นว่า
“ขอบใจมากจ๊ะกบฉันว่าเรารีบกลับ ออฟฟิศเถอะ ฉันอยากโทรหาสามีของฉันหน่อย
มีข้อดีของเขาอีกมากที่ฉันควรจะบอกเขา

คนพิเศษ

ชีวิตคนเรามีอะไรมากมายที่ผ่านเข้ามาให้ซึมซับรับรู้
ในชีวิตคนเรามีผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาให้รู้จักมักคุ้น
แต่ในผู้คนมากมายเหล่านั้น
อย่างน้อยคงต้องมีใครบางคนที่ทำให้เรารู้สึก “ไม่ธรรมดา”
ที่จะนึกถึง
เรียกว่าเป็น “ความพิเศษ”
ที่เราจะยกเว้นเอาไว้จากความปกติทั่วไปของจิตใจ
ก็ในเมื่อคำว่า “พิเศษ” หมายถึงความจำเพาะ ความแปลกแยก
ความดีงาม ความอบอุ่นในหัวใจ
กระนั้นทำไมเราไม่ปฏิบัติต่อเขาให้ตรงกับที่ใจคิด
ให้ “ความรู้สึกดีดี” จากจิตใจที่ดีดี
ให้ “ความอาทรถึง” จากจิตใจที่นึกถึง
ให้ “ความห่วง” จากจิตใจที่เป็นห่วง
ให้ไปเถอะ ให้ไปอย่างดีดี แต่มี “สติ”
ให้ไปเถอะ ให้ไปอย่างอบอุ่น แต่ไม่ “คุกกรุ่น”
ให้ไปเลย ให้ไปเท่าไหร่ก็ได้
แต่เมื่อให้ไปแล้วต้อง “ไม่ร้อนรุ่มกลัดกลุ้ม”
และหากเมื่อใดจิตใจอาจระส่ำระสาย สะดุดกับอะไรขึ้นมาบ้าง
ก็จงหยุดพักตรึกตรอง อย่าปล่อยให้พายุอารมณ์โถมพัด
“สิ่งดีดี” จนกระจัดกระจาย
เพราะ “การให้ความหมาย” ไม่ใช่ “การตั้งความหวัง”

คนสองคนให้ความหมายซึ่งกันและกัน แต่คนสองคน
“จะไม่ตั้งความหวังในกันและกัน”
เพราะการตั้งความหวังมักนำพาซึ่ง “การเรียกร้อง”
“ความอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ” โดยที่ไม่รู้ตัว
มันร้อนนัก หนาวนัก และไม่เป็นสุข
เราต้องไม่ลืมปรับอุณหภูมิจิตใจเอาไว้ที่องศาอุ่นๆ
หากเริ่มรู้สึกตัวว่า
ความร้อนเริ่มทวีขึ้น เราต้องค่อยๆ
เดินออกมาสูดอากาศเย็น
หากตรงกันข้ามเราก็ต้องหลบเร้นจากความหนาวมาหาไอแดดเช่นกัน
และอย่าลืมว่า “ความพิเศษ”
ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นพิเศษมากหรือพิเศษสุด
หรือพิเศษอย่างยิ่งในคนคนเดียว
ทั้งเราและเขาอาจจะมีคนพิเศษในวิถีชีวิตได้หลายลักษณะ
พิเศษในเรื่องนั้น
พิเศษในเรื่องนี้
ในเมื่อหัวใจเป็นของเรา
เราก็ย่อมเลือกให้ความพิเศษกับใครก็ได้
ที่เราจะไม่ต้องแลกกับความทุกข์อย่างพิเศษกลับมา
จงให้ “ความพิเศษ” เป็นชีวิตชีวา
เป็นแววตาที่แจ่มใส
เป็นความห่วงใยที่เมื่อนึกถึงทีไรก็ยิ้มได้
ไม่วิ่งหนี แต่ไม่วิ่งตาม
ไม่หักห้าม แต่ไม่กระโจนใส่
ไม่เป็นน้ำตาลที่หวานอ่อนไหว
แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจและเอื้ออาทร
จงเป็นความแจ่มใสในอารมณ์ของตัวเอง เป็นความชุ่มชื่น
สดใส เช่นสายน้ำ
เป็นสีสันงดงามเช่นมวลผกา เป็นสีเขียวของใบไม้
ที่เย็นที่ตาและที่ใจ
และที่ตรงนี้ จะอีกนานเท่าใด ไม่ว่า “คนพิเศษ”
คนนั้นจะอยู่ใกล้หรือต้องจากกันไกล
ความพิเศษ” นั้นก็จะคงอยู่อย่างมีคุณค่า ณ ที่เดิม
ที่ซึ่งใจข้างซ้ายตรงกัน

ก่อนที่จะสาย

เคยเสียใจกับบางสิ่งที่คิดจะทำ แต่ไม่ทันได้ทำ ก็ไม่มีโอกาสจะทำ หรือเปล่า
ถ้าไม่เคยคุณคือคนที่โชคดีมาก แต่ถ้าคุณเคย มีอีกหลายคนที่เข้าใจความรู้สึกคุณ
มันเป็นอะไรที่เสียใจไปตลอดชีวิต
เรื่องนี้อ่านเจอแล้วเห็นว่า มันอาจจะสะกิดให้ใครบางคน
กล้าที่จะทำอะไรในสิ่งที่อยากทำก่อนที่จะสายเกินไป


ในค่ำคืนที่อากาศค่อนข้างเย็นในฤดูหนาว
ชายชราผู้หนึ่งเกิดอาการหัวใจวายอย่างกระทันหัน
ทันทีที่เขาถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งของรัฐ
เขาทราบได้เท่าที่หมอที่รักษาเขาทราบ
ว่าโอกาสที่จะมองโลกใบนี้คงเหลือน้อยเต็มที
ความรู้สึกหนึ่งที่รบกวนจิตใจเขามาตลอด บัดนี้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง
เค้าพยายามขอร้องพยาบาลให้โทรศัพท์หาลูกสาวคนเดียวของเขา
"ผมอยู่คนเดียว และเธอก็เป็นญาติคนเดียวที่ผมมี"

ลูกสาวของชายคนนั้นเมื่อรับทราบข่าว เธอตกใจมาก
เธอพูดด้วยเสียงอันดังว่า"ปล่อยให้พ่อตายไม่ได้นะ
ฉันทะเลาะกับพ่อเมื่อเกือบปีที่แล้ว ฉันยังไม่ได้พบหรือขอโทษพ่อเลย
คำพูดสุดท้ายที่ฉันบอกพ่อคือ ฉันเกลียดพ่อ
ได้โปรดเถอะ ฉันอยากจะขอโทษพ่อฉัน "
ลูกสาวร้องไห้ก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า "ได้โปรดเถอะค่ะ
ฉันจะไปถึงในสามสิบนาทีนี้ค่ะ"

คนเจ็บอาการทรุดจนหัวใจหยุดเต้น พยาบาลได้แต่สวดภาวนา "โอ พระเจ้า
ลูกสาวของเขากำลังมา ขออย่าให้เรื่องทั้งหมดจบแบบนี้เลย
ขอให้ลูกสาวมาทันพูดกับเขาเถอะ"
แต่ความพยายามของคณะแพทย์ที่จะปั๊มหัวใจเพื่อยืดเวลาของคนไข้ออกไป กลับไร้ผล
เมื่อลูกสาวมาถึง พยาบาลเห็นแพทย์คนหนึ่งกำลังพูดกับลูกสาวของคนไข้อยู่นอกห้อง
เธอเห็นความเจ็บปวดบนใบหน้านั้น พยาบาลเข้าไปปลอบใจ และได้แต่บอกว่า
"ดิฉันเสียใจกับการสูญเสียครั้งนี่ค่ะ" ลูกสาวตอบว่า"ฉันไม่เคยเกลียดพ่อ
คุณรู้ไหมค่ะ ฉันรักพ่อจริงๆมาตลอด ฉันอยากพูดให้พ่อได้ยินว่าฉันรักพ่อ
กรุณาให้ฉันได้พบพ่อด้วยเถอะค่ะ"

พยาบาลนำเธอไปยังห้องผู้ป่วย ลูกสาวเดินไปที่เตียง ทันทีที่เธอเห็นร่างเขา
เธอซบหน้าลงที่อก น้ำตาพรั่งพรูลงบนหน้าอกที่ไม่กระเพื่อม
ขณะที่เธอกล่าวคำลาพ่อผู้จากไปของเธอ
สิ่งเดียวที่เธอต้องการคือให้เขาได้รับรู้จากปากเธอว่าเธอรักเขา
เธอรักพ่อของเธอ พยาบาลพยายามที่จะไม่มองการร่ำลาที่แสนเศร้านี้
ขณะที่หันกายกลับไป กลับพบกระดาษโน้ตชิ้นหนึ่งข้างเตียงคนไข้
พยาบาลหยิบขึ้นมาอ่านและพบข้อความว่า
"ลูกรักของพ่อ พ่ออยากจะบอกลูกว่า พ่อให้อภัยแก่ลูกเสมอ
พ่อภาวนาให้ลูกให้อภัยแก่พ่อเหมือนกัน พ่อรู้ว่าลูกรักพ่อ
และรู้ว่าลูกก็รู้ว่าพ่อรักลูกเหมือนกัน ลาก่อนลูกรักของพ่อ"

คนเรามักไม่กระตือรื้นล้นที่จะทำในสิ่งที่ความรู้สึกแท้จริงต้องการจะทำ
ตราบจนเมื่อไม่มีเวลาทำในสิ่งที่อยากทำคุณจึงเริ่มรู้สึกถึงสิ่งที่อยู่ในใจคุณ
ถ้าวันนี้คุณเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง
รู้ว่าคุณต้องการจะแสดงความรักกับใครซักคนหนึ่งที่คุณรัก
คุณเป็นคนโชคดีที่รู้จักตัวเองก่อนจะสาย
คุณมีเวลามากพอที่จะทำในสิ่งที่อยากจะทำ อย่าปล่อยให้เวลาของคุณผ่านไป
จนกระทั่งความรู้สึกสุดท้ายที่เข้ามาแทนคือความเสียใจ

เพียงความทรงจำ

เรื่องราวความรักของฉันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
รู้เพียงแต่ว่าในสมุดบันทึกประจำวันของฉัน
มีชื่อเขาตั้งแต่วันมอบตัวทีเดียว…
คงเพราะความบังเอิญที่ทำให้เราสองคนมักจะได้ทำอะไรด้วยกันเสมอ
ได้เล่นละครด้วยกัน ได้นั่งคู่กันในห้องทดลองวิทยาศาสตร์
หรือแม้กระทั่งไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยครั้ง…
แต่เรากลับไม่ได้ใกล้ชิดกันเท่าที่ควร
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม…จนวันหนึ่ง…
" มีนอยากวาดรูปเหรอ เราสอนให้ก็ได้นะ"
นี่แหล่ะประโยคสำคัญที่ทำให้เราสองคนได้มีโอกาส ใกล้ชิดกันมากขึ้น
เขารีบกระวีกระวาดไปหากระดาษกับดินสอมาวางไว้ตรงหน้าฉัน
ไม่รู้ว่าวิญญาณครูไปสิงอยู่กับชายคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เขาลากเส้นเป็นตัวอย่างแล้วให้ฉันลองทำตามไปช้าๆ
ลมที่พัดแรงทำให้ผมของฉันปลิวจนยุ่งไปหมด
"ขอโทษนะ" เขาพูดแล้วเอื้อมมือมาหยิบปอยผมของฉันที่ปลิว
เพื่อเหน็บหูของฉันไว้อย่างเดิม
"ขอบคุณนะเฟิร์ส" ฉันพูดเขินๆ ใบหน้ากลายเป็นสีแดงระเรื่อ
เขายิ้มบางๆเหมือนกับจะบอกว่าไม่เป็นไร
หลังจากทนนั่งดูฉันลากเส้นที่ดูไม่ได้เอาเสียเลยมาเป็นเวลานาน
เขาก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจแล้ว ส่ายหน้าไปมาอย่างหดหู่
"แย่กว่าเราตอนฝึกวาดใหม่ๆซะอีก"
เขาทำท่าทางเหมือนครูที่กำลังดุนักเรียนอยู่ยังไงยังงั้น
"ก็คนมันไม่เก่งนี่นา ไม่ต้องสอนก็ได้นะ"
ฉันบ่นเบาๆแล้ววางดินสอลงแรงๆ
"เอาเหอะฝึกต่อไปละกันฮะ
วาดรูปน่ะไม่ยากหรอกถ้ามีคนสอนดีๆอย่างเรา"
เขาบอกยิ้มๆ

ฉันส่ายหน้ากับความหลงตัวเองของเขา…หลงตัวเองจริงๆนะนายเฟิร์สจอมเก๊ก…


เราสนิทกันมากขึ้นทุกที…สนิทท่ามกลางเสียงแซวและวิพากษ์วิจารณ์ของเพื่อนที่
ไม่เว้นแม้แต่ในคาบเรียน "สวีทกันจังเลยคู่นี้"
เสียงเพื่อนๆที่ดังมาจากด้านหลังห้องทำให้ฉันต้องวางดินสอลงอายๆ
"เฮ้ย! เธออย่าแซวซิ เราไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นสักหน่อย"
เฟิร์สแก้ตัวให้
เพื่อนๆทำสีหน้าไม่เชื่อ


แต่พอเห็นหน้าตาเอาเรื่องของฉันก็เลยจำใจต้องสงบปากสงบคำแล้วเดินหนีไปคุยกันที่อื่นแทน
"ช่างเขาเหอะ" ฉันพูดเบาๆแล้วก้มหน้าก้มตาวาดรูปต่อไป
"มีน…เรามีอะไรจะบอก" เขาพูดท่าทางเขินๆ
"อารายเหรออออ" ฉันเงยหน้าขึ้นมองแล้วพูดลากเสียงยาว
"เราชอบผู้หญิงคนหนึ่งนะ"
สีหน้าอายๆของเขาทำให้ฉันแอบหวังอยู่ลึกๆว่านี่
คงจะเป็นวิธีการบอกรักทางอ้อมของเขา แต่….
"คนนั้นไง"

ว่าแล้วเขาก็ชี้ไปที่เพื่อนร่วมสถาบันคนหนึ่งที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู
ฉันหันไปยิ้มล้อ
บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลยจนนิดเดียว
อาจจะเป็นเพราะว่าฉันไม่เคยหวังให้เขามารัก
แค่รู้สึกรักเขาอยู่ฝ่ายเดียวก็พอ
เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น ฉันวางดินสอลงโดยอัตโนมัติ
"เรากลับแล้วนะ" ฉันบอกเบาๆ
"ขอบคุณสำหรับการสอนวาดรูปและทุกๆอย่างนะ"
"มีนพูดเหมือนสั่งลาเลย" เขาพูดติดตลก
"อย่างกับเราจะไม่ได้สอนมีนอีกอย่างนั้นแหละ"
"ใครจะไปรู้ล่ะ
"ชีวิตมันไม่แน่หรอกเฟิร์ส" ฉันพูดทีเล่นทีจริง
แล้วเดินไปปิดกระจก
และประตูห้องเรียน เขาเดินมาช่วยอีกแรงหนึ่ง
"วันเสาร์เจอกันที่เรียนพิเศษแล้วกันนะ บ๊ายบาย"
เขาบอกลาแล้วโบกมือให้
ฉันยิ้มรับแล้วโบกมือตอบไป
"กลับบ้านดีๆนะจ้ะหนูมีน" เสียงตะโกนของเขาที่ดังตามหลังมา
ทำให้ฉันแอบอมยิ้มบางๆอย่างมีความสุข

ฉันนั่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับเขานับตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน
ตลอดเส้นทางกลับบ้าน

ไม่เคยคิดเลยว่าผู้ชายที่แสนจะธรรมดาคนนี้ จะกลายมาเป็นคนสำคัญของหัวใจ
ถึงจะรู้ว่าเขามีคนที่เขาชอบอยู่แล้ว
แต่นั่นก็ไม่สำคัญอะไรเพราะฉันก็ยังคงมีความสุขที่จะรักเขา
ที่จะได้เห็นรอยยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะของเขา
มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉันคนนี้แล้ว
ฉันหยิบภาพเหมือนของฉันที่เขาวาดให้ตอนวันเกิดขึ้นมาดู
"สุขสันต์วันเกิดนะครับ"
ฉันยังจำเสียงใสๆของเขาที่บอกตอนเช้าตรู่ในวันสำคัญของฉัน
"มีความสุขมากๆนะครับมีน"
รอยยิ้มจริงใจของเขาในวันนั้นยังบันทึกอยู่ในความทรงจำ
ของฉันเสมอมา….ไม่เคยลบเลือน

"โครมมมมมมม!!!!!!" เสียงดังขึ้นที่ถนนสายหนึ่ง
บรรดาไทยมุงต่างพากันมามุงดูเหตุการณ์รถคว่ำ
ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งถูกหามออกมา
กระดาษวาดเขียนตกลงมาจากมือที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดของเธอ
ชายแก่คนหนึ่งหยิบขึ้นมาดู เห็นหยดเลือดเปรอะไปทั่วแผ่นกระดาษนั้น
แต่ก็พอจะมองเห็นลางๆ


ว่าเป็นภาพวาดของหญิงสาวที่กำลังยิ้มสดใสในชุดนักเรียนโรงเรียนมัธยมปลายชื่อดัง
มีลายมือที่เขียนไว้ใต้ภาพอย่างสวยงามว่า
"เพียงความทรงจำ…เฟิร์ส"
ชายแก่คนนั้นทิ้งภาพไว้ที่เดิมอย่างไม่ใคร่สนใจใยดีนัก
ลมเริ่มพัดกระหน่ำแรงขึ้นเรื่อยๆ


จนทำให้กระดาษแผ่นนั้นปลิวตกลงไปบริเวณลำคลองริมถนนและค่อยๆจมหายลงไปใต้ผืนน้ำนั้น…

ผมได้สมุดเล่มนี้มาจากเพื่อนสนิทของเธอ…
ผมเลยขอเขียนเรื่องนี้ให้จบด้วยมือของผมแทน
เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา
ผมไปเรียนพิเศษก็นึกแปลกใจอยู่ตะหงิดๆว่าทำไมเธอถึงไม่มาเรียน
เพราะปกติเธอไม่ใคร่จะชอบหยุดเรียนนัก
บังเอิญผมไปพบเพื่อนสนิทของเธอเข้าพอดิบพอดี
"เฟิร์ส…รู้เรื่องมีนหรือยัง"
เขาถามผมทันทีที่พบกัน สีหน้าของเขามีแววเศร้าๆปรากฏอยู่
ตาก็ดูบวมแดงผิดปกติ
"ยังครับ มีนทำไมเหรอ" ผมถามยิ้มๆ
เธอก็คงไม่สบายแต่อาจจะหนักหน่อยถึงยอมขาดเรียนวันนี้…ผมคิด
"มีนรถคว่ำ ตอนนี้อยู่ห้อง ICU โรงพยาบาล…………." เขาบอก
ผมอึ้งไปสักพักใหญ่ๆ
พอได้สติอีกทีก็มายืนอยู่หน้าห้อง ICU
โรงพยาบาลแห่งหนึ่งข้างๆเพื่อนสนิทของเธอคนเดิม




เขาจัดการเป็นธุระไถ่ถามพยาบาลถึงเตียงของเธอเพราะไม่เห็นเธออยู่ที่เตียงเดิม
"เสียใจด้วยนะคะ คุณมีนาหัวใจล้มเหลวเมื่อ 15 นาทีที่แล้วค่ะ"
.
ผมอื้อไปหมดจนไม่ได้ยิน
เสียงพยาบาลที่พูดอธิบายเรื่องราวต่อจากนั้น
ถ้าจะถามผมว่าวินาทีนั้นผมรู้สึกเช่นไร
ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน

เพียงแต่ว่าน้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาท่วมใบหน้าของผมตั้งแต่ได้รับรู้ว่า
"เธอจากไปแล้ว"

ผมอ่านบันทึกเล่มนี้หลังจากที่ร่างของเธอฌาปนกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว…
ผมเพิ่งรู้ว่าเธอรักผม…

แต่ทำไมเธอถึงไม่รู้เลยว่าคำพูดที่ผมพร่ำบอกกับเธออยู่บ่อยครั้งว่า
"รักกับชอบแตกต่างกัน" มันคือสิ่งที่ผมอยากให้เธอรับรู้
หญิงคนที่ผมเคยชี้ให้เธอดูคือคนที่ผมชอบ
แต่ผู้หญิงคนที่ผมรักคือ
"เธอคนนี้"… เธอคนที่เข้าใจและเป็นกำลังใจให้ผมอยู่เสมอ…

เธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าผมคิดอย่างไรกับเธอ
ถ้าผมสามารถขอพรวิเศษใดๆได้

ผมอยากจะขอแววตาคู่นั้นที่เคยจ้องมองผมด้วยความรู้สึกดีๆอยู่เสมอ
รอยยิ้มที่เคยมีให้เวลาผมท้อแท้
เสียงหัวเราะที่เคยทำให้โลกทั้งโลกดูสดใส
…ผมอยากจะขอให้เธอกลับคืนมา…
เธอคือรักครั้งแรกของผม
อาจต้องใช้เวลามากสักหน่อยในการทำใจว่า
ต่อจากนี้จะไม่มีเธออยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว
ไม่มีคนที่เข้าใจและคอยห่วงใยผมตลอดมา
แต่ผมรู้เสมอว่าเธอจะคอยจ้องมองผมอยู่ห่างๆ เหมือนอย่างเคย
เพราะนั่นคือสิ่งที่เธอเรียกมันว่าความสุข และเธอจะรอผมอยู่ ณ
ที่แห่งนั้น
ตรงดินแดนแห่งความรักที่สร้างไว้สำหรับเราเพียงสองคน…
สักวันผมจะไปหาเธอ…
หลับให้สบายนะครับ…มีน…

หลับตาเถอะนะ…แล้วเราก็จะพบกันอาจเป็นเพียงฝันก็พอใจ
หลับตาเถอะนะ…ถึงตัวเราจะแสนไกลห่างกันเพียงไหนก็ใกล้เธอ
ชีวิตขีดเส้นทางไว้ให้เราเจอกันขีดทางที่ผกผันให้มีวันห่างไกล
หลับตานานนาน…คิดถึงวันเก่าจะยังมีเราสองคน…หลับตาเถอะนะเธอ

ด้ายแดง

....ในหลายๆ ความเชื่อเกี่ยวกับความรัก และคู่ชีวิต ..
ความเชื่ออันนึงที่เชื่อว่า.. คู่ชีวิตที่แท้จริง
จะมีด้ายสีแดงผูกที่นิ้วก้อยข้างซ้าย เชื่อมกันไว้
รอจนวันนึง..ด้ายสีแดงนี้จะนำให้เขาทั้งสองมาพบกัน
และรักกันในที่สุด..


.....หลายๆ คนอาจจะเชื่อ
แต่คงไม่เชื่อมากเท่าผมแน่ๆ..
เพราะผมเห็น...
เห็นด้ายสีแดงที่นิ้วก้อยข้างซ้ายของผม..
ด้ายที่ผูกติดตัวมาตั้งแต่จำความได้..
ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าปลายอีกข้างนึงของมัน จะผูกติดกับใคร

นั่นแหละคือสาเหตุที่ผมเดินทางหาปลายอีกด้านนึงของมัน..


.....เด็กหนุ่มคนนึงที่ต้องการตามหาสิ่งที่ท้าทายที่สุดในชีวิตของเขา..
ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เค้าตามหาจะอยู่ไกลขนาดไหน..
และไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่..
แต่เค้าก็เริ่มเดินทาง..


การเดินทางไปตามด้ายสีแดงตรงปลายนิ้วก้อย..การเดินทางที่รู้ทางเดิน..
แต่ไม่รู้จุดหมาย..
.....ผมเดินทางไปตามเมืองต่างๆ ที่ด้ายสีแดงของผมพาดผ่าน.
ได้พบ ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่มีทางจะได้เจอในเมืองของผม
ใจนึงก็คิดว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดี..
แต่มันก็ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง..
เป้าหมายของผมคือ.. ปลายด้ายสีแดง...
.....และแล้วผมก็ได้เพื่อนร่วมเดินทาง..


เมื่อวันนึงผมพบกันผู้หญิงที่ตามหาปลายอีกด้านนึงของด้ายแดงเหมือนกัน..
แต่เธอคงไม่ใช่ปลายด้ายแดงของผมหรอก..
เพราะด้ายแดงของผมยังไปอีกไกล...
.....เราพบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
และก็ไม่ได้เป็นการพบกันที่ทำให้ผมพอใจมากนัก..
บอกตรงๆ เธอไม่ใช่ผู้หญิงในสเปคของผมเลย..
แถมเราทะเลาะกันตั้งแต่เจอกันครั้งแรก
แต่เราก็ร่วมเดินทางด้วยกัน


เพราะด้ายสีแดงของเธอกับของผมมันไปทางเดียวกันน่ะสิ.
.....ก็ยังดีนะ ที่ผมไม่ได้เดินทางคนเดียว
อย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมทาง
ที่เห็นและตามหาปลายอีกข้างนึงของด้ายแดงเหมือนกัน..
....การเดินทางร่วมกันของเราทำให้
ผมเห็นตัวจริงของผู้หญิงคนนี้มากขึ้น..
เป็นตัวจริงที่น่าเคารพ น่าให้เกียรติในฐานะผู้หญิงคนนึง..
จะว่าไปเธอก็นิสัยดีนะ
ตอนที่ทะเลาะกันครั้งแรกคงเป็นการเข้าใจผิดซะมากกว่า

ความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอเริ่มดีมากขึ้นเรื่อยๆ..

มีอยู่ครั้งนึงที่ผมคิดว่าถ้าปลายด้ายแดงอีกข้างนึงของผม
ไปหยุดอยู่ที่นิ้วก้อยของเธอก็คงจะดี..
มันก็ไม่แน่นะ..
ถ้าเป็นจริงผมก็คงมีความสุข.. แต่ถ้าไม่ใช่ ..

ผู้หญิงคนนั้นคงเป็นผู้หญิงที่วิเศษกว่าเธอคนนี้แน่ๆ ..


ยิ่งผมได้รู้ว่าเพื่อนร่วมเดินทางของผมเป็นผู้หญิงที่วิเศษเพียงใด
ผมก็ยิ่งอยากให้ผมเจอปลายด้ายแดงของผมไวๆ ..
ผู้หญิงที่ดีกว่าผู้หญิงคนนี้
ผู้หญิงที่เป็นเนื้อคู่ของผมจะเป็นยังไงน๊า..

.....นานขนาดไหนก็ไม่รู้ที่เราร่วมเดินทางด้วยกัน..
ผมยอมรับว่าเธอเป็นเพื่อนร่วมเดินทางที่ดีที่สุด..
เราช่วยเหลือกันมาตลอด..
แต่มันก็คงจะสิ้นสุดแล้วล่ะ.. เพราะด้ายแดงของผมกับเธอ มันแยกกัน..
ตรงทางแยกพอดี..
ทางแยกนี้มันแยกไปสู่เมืองสองเมือง ..
ด้ายของผมแยกไปทางขวา..
มุ่งสู่เมืองบนยอดเขา
ซึ่งผมเชื่อว่าคงเป็นปลายด้ายของผมแล้วล่ะ ..
เพราะเมืองนี้อยู่ยอดเขาพอดี..
ส่วนของเธอแยกออกไปที่เมืองข้างล่าง..
.....เรายืนคุยกันตรงทางแยกซักพักนึง
เพื่อกล่าวคำอำลาและแสดงความยินดีซึ่งกันและกัน
เราจะได้เจอจุดหมายของเราซักที..


ข้อตกลงสุดท้ายของเราก่อนจะแยกจากกันคือ
เราจะกลับมาเจอกันที่ตรงทางแยกนี้
ไม่ว่าจะเจอ หรือไม่เจอปลายด้ายแดงก็ตาม..
เราตกลงกันตามนี้..
แล้วเราก็แยกทางกัน....
.....ผมรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องกลับมาเดินทางคนเดียว


ทำให้ผมไม่ดีใจมากนักที่รู้ว่า
ปลายด้ายของผมจะไปสุดตรงที่เมืองตรงยอดเขา
ผมเดินแยกจากเธอไปช้าๆ.. ในหัวมีแต่เรื่องต่างๆ
ที่เกิดขึ้นตอนที่เราเดินทางด้วยกัน..
ความประทับใจต่างๆ
ที่เกิดขึ้นตลอดการเดินทาง.. ความรู้สึกดีๆ
ที่เรามีให้กัน..
.....และแล้วผมก็หยุดเดิน ..
หยุดห่างจากทางแยกไม่ไกลเท่าไหร่..
แล้วผมก็วิ่งกลับไปยังทางแยกนั้นอีกครั้ง..
ไม่มีเหตุผลที่ผมทำแบบนี้เลย..
แต่ก็ทำ.. ผมกลับไปถึงทางแยกนั้นอีกครั้ง..
ซึ่งเธอก็นั่งอยู่ที่นี่อยู่ก่อนแล้ว..
.....เรานั่งคุยกันซักพัก..


ผมบอกเธอไปว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงกลับมา..
ส่วนเธอ..
เธอบอกว่าเธอกลัว..
กลัวว่าจะไม่มีใครตรงปลายด้ายแดงของเธอ
แล้วเธอก็ร้องไห้..
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเธอร้องไห้..


.....สิ่งที่ผมภูมิใจมากกว่าตัดสินใจการออกเดินทางตามหาคู่ชีวิตของผม
..คือการตัดสินใจครั้งนี้แหละ..
ผมเช็ดน้ำตาให้เธอ .. ตัดด้ายแดงของผม และเธอออก
แล้วผูกเข้าด้วยกัน...
ผมไม่รู้หรอกว่าเธอจะโกรธผมรึเปล่าที่ผมทำแบบนี้..
อยากจะถามเธออยู่หรอก
แต่เธอก็ร้องไห้ไม่หยุด.. และกำลังกอดผมอยู่...

ของขวัญจากเวลา

ลองจินตนาการว่ามีธนาคารแห่งหนึ่งเข้าบัญชีให้คุณทุกเช้า
เป็นเงิน 86,400 บาท
ไม่มีการยกยอดคงเหลือไปวันรุ่งขึ้น
ทุกตอนเย็นจะลบยอดคงเหลือทั้งหมดที่คุณไม่ได้ใช้ระหว่างวัน
คุณจะทำอย่างไร?
แน่นอนที่สุดคุณต้องถอนมาใช้ทุกบาททุกสตางค์ ใช่ไหม!!!
เราทุกคนมีธนาคารอย่างนั้นเหมือนกัน
ธนาคารแห่งนี้ชื่อว่า "เวลา"
มันเข้าบัญชีให้คุณ 86,400 วินาที
ทุกคืนมันจะถูกล้างบัญชี ถือว่าขาดทุนตามจำนวนที่คุณพลาดโอกาสที่จะลงทุนในสิ่งดี ๆ
มันไม่สะสมยอดคงเหลือ ไม่ให้เบิกเกินบัญชี
ในแต่ละวันจะเปิดบัญชีใหม่ให้คุณ
ทุกค่ำคืนจะลบยอดคงเหลือของทั้งวันออกหมด
ถ้าคุณเสียโอกาสที่จะใช้ประโยชน์ในระหว่างวัน
ผลขาดทุนเป็นของคุณ
ไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้ ไม่มีการถอนของ "วันพรุ่งนี้" มาใช้ได้
คุณต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันด้วยยอดเงินฝากของวันนี้
ให้ลงทุนจากเงินฝากเหล่านี้เพื่อได้ผลตอบแทนมาสูงสุด
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อสุขภาพ ความสุข และความสำเร็จ!
นาฬิกากำลังเดิน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

คุณจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งปี
ให้ไปถามนักเรียนที่สอบตกต้องซ้ำชั้น
คุณจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งเดือน
ให้ไปถามคุณแม่ที่คลอดลูกก่อนกำหนด
คุณจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งสัปดาห์
ให้ไปถามนักเขียนหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์
คุณจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งชั่วโมง
ให้ไปถามคนรักที่กำลังรอคอยตามนัดหมาย
คุณจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งนาที
ให้ไปถามคนที่เพิ่งพลาดขบวนรถไฟ
คุณจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งวินาที
ให้ไปถามคนที่เพิ่งรอดชีวิตหวุดหวิดจากอุบัติเหตุ
คุณจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา เสี้ยววินาที
ให้ไปถามคนที่เพิ่งชนะได้รางวัลเหรียญทองโอลิมปิค

ทำทุกขณะที่คุณมีให้มีคุณค่า!
และทำให้มีคุณค่ามากขึ้นไปอีกเพราะคุณใช้มันร่วมกับคนพิเศษบางคน
ให้พิเศษเพียงพอที่จะใช้เวลาของคุณ
และจำไว้เสมอว่าเวลาไม่คอยใครแม้สักคนเดียว
เมื่อวานเป็นอดีต พรุ่งนี้ยังยากที่จะอธิบาย
วันนี้เป็นของขวัญ
นั่นไงทำไมมันถึงถูกเรียกว่า "Present"
แสดงให้เพื่อนเห็นว่าคุณแคร์เขามากแค่ไหน...
ด้วยการส่งข้อความนี้ไปให้ทุกคนที่คุณพิจารณาแล้วว่า
เขาคือ "เพื่อน"

Love is to forgive, not to forget

นี่คือคำพูดที่พระเอก Woody Harrelson พูดกับนางเอก Demi Moore
ในหนังเรื่อง
Indecent proposal ซึ่งเป็นคำพูดที่ประทับใจผมจนถึงทุกวันนี้
และผมจะนึกถึงทุกครั้งเวลาที่ผมมีปัญหาทะเลาะกับภรรยา
มันทำให้ผมยอมง้อเธอก่อนเสมอ ไม่ว่าเธอจะถูกหรือผิด
ผมคิดว่าในเมื่อคนเราอยู่ด้วยกันแล้ว
ก็ควรจะยอมรับและยอมให้อภัยกันได้ในทุกๆเรื่อง (ย้ำ)......
ขออนุญาติcopyข้อความของคุณ008มาให้คนที่ยังไม่ได้อ่าน ลองอ่านดูนะครับ
มันให้ความรู้สึกที่ดีมาก สำหรับผม

".... ผมในฐานะผู้ชายเนี่ยเข้าใจเป็นอย่างดีเลยครับ
เรื่องการถูกทำร้ายความไว้เนื้อเชื่อใจมันเจ็บปวดขนาดไหน
ผมเคยประสบมากับตัวเองเลยเต็มๆ กับภรรยาคนปัจจุบันของผมเนี่ยแหล่ะ
หนักกว่าคุณนัก
ผมก็เคยถามเธอนะครับว่าเธอเคยผ่านผู้ชายมาหรือเปล่าเป็นการถามเล่นๆ
ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะผมไม่ถือเรื่องนี้หรอก
ผมโตเเมืองนอกครับเลยถือเป็นธรรมดา
ที่ถามก็เพราะอยากรู้ว่าหญิงไทยยังคงเป็นแบบสมัยก่อนหรือสมัยใหม่
เธอก็ตอบตามตรงว่าเคย และถามว่าผมจะยังรักเธอไหม
ผมก็หัวเราะและตอบว่ามันเกี่ยวกับรักด้วย เรอะรักก็รักเหมือนเดิมสิ
ไม่เห็นแปลกเลย ถามเล่นๆ อย่าไปซีเรียสน่า แล้วเราก็แต่งงานกัน
2 ปีผ่านมาผมก็ได้พบความจริงบางอย่างที่ทำให้ผมถึงกับต้องลาออกจากงานและไปบวชเลย
เธอเคยทำแท้งครับ ผมเพิ่งทราบจริงๆ เธอไม่เคยบอกเลย
ผมก็ไม่เคยติดใจสงสัยอะไร
แม้เธอจะไม่ได้โกหกผมเหมือนอย่างที่แฟนคุณโกหก
และเธอปิดบังผม
ที่ผมรู้เพราะมีครั้งหนึ่งที่ผมดีใจนึกว่าเธอท้องเลยพาไปตรวจครรภ์
หมอก็คุยเรื่อยเปื่อยว่าอ๋อยังไม่ท้องหรอก อย่างนั้นอย่างนี้
และมีประโยคหนึ่งที่ผมสะดุดคือหมอพูดว่า
"ดีแล้วครับที่สงสัยว่าจะท้องแล้วรีบพามาตรวจ
เพราะมดลูกที่เคยผ่านการบำบัดพิเศษมาแล้ว หากท้องอีก
อาจเป็นอันตรายเพราะเสี่ยงกับทั้งแม่และเด็กมากๆ
ยังไงถ้าท้องก็รีบพามาตรวจนะครับ รับรองว่าหมอจะดูแลเป็นพิเศษเลย
ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะหากแม่และเด็กได้รับการดูแลภายใต้แพทย์อย่างสม่ำเสมอ
ก็จะไม่มีปัญหาครับ"
(หมอท่านนี้ไม่ทราบอะไรมาก่อนครับ
เพราะพึ่งมาตรวจกันครั้งแรกตามคำแนะนำผู้ใหญ่
หมออาจจะเดาเอาว่าผนรู้แล้ว)
ผมก็งงๆ


ทีแรกนึกว่าเธออาจเคยประสบอุบัติเหตุกระเทือนต่อมดลูก
หรืออาจเคยเป็นเนื้องอกแล้วผ่าตัดมา ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
ก็เลยถามภรรยาระหว่างขับรถกลับบ้านว่า
"มดลูกเคยมีปัญหาใช่ไหม" ผมถามเพราะห่วงนะครับ ไม่ได้สงสัยอะไรเลย
แต่เธอตกใจทันทีและร้องไห้ออกมา
ขอโทษขอโพยที่ปิดบังมาตลอดและเล่าเรื่องทั้งหมด
(เธอคงนึกว่าผมรู้แล้วและมาถามเอาเรื่อง) ผมก็อึ้งเลยครับ
2 ปีที่ผ่านมานี่ผมเป็นควายหรืออย่างไร นี่มันเกิดอะไรขึ้น
เธอบอกว่าสมัยเรียนเมืองนอกเธอเคยมีเพื่อชายชาวญี่ปุ่นและอยู่ด้วยกัน
(ซึ่งอันนี้ผมรู้แล้วและไม่ถือครับ) ต่อมาก็ห่างๆ กันไป
เธอมารู้ตัวว่าท้องก็หลังจากเพื่อนชายคนนั้นกลับประเทศไปแล้ว
เธอไม่รู้จะทำอย่างไรจึงขอ Drop เรียน และย้ายเมืองเพื่อไม่ให้ใครรู้
และไปทำแท้งที่ต่างเมือง แล้วจึงกลับมาเรียนต่อ
คนรอบข้างก็ไม่มีใครสงสัยเพราะเธอบอกว่าย้ายไปหาข้อมูลเพิ่มเติม
เพื่อประกอบ Thesis
จะมีก็แต่ครอบครัวเท่านั้นที่รู้เพราะแม่บินตามมาเฝ้าพยาบาลเธอด้วย


กลับมาถึงบ้านเธอก็ร้องไห้อ้อนวอนขอโทษถึงกับกอดแข้งกอดขากราบเท้าอย่าให้เราแยกกัน
ผมในตอนนั้นหัวมันตื้อเพราะช็อกก็ไม่ได้ยินอะไรเลย
จำได้แค่ว่าตัวลอยๆ เดินไปเก้บเสื้อผ้าและขับรถออกจากบ้านไป
ผมไม่รู้จะไปไหนห็เลยติดต่อเพื่อนที่อยู่แถบอีสานขอพักด้วยสักระยะ
เพื่อนก็ตกลงเพราะเห็นว่าผมคงมีทุกข์มาและก็ไม่ว่าไม่ถามอะไร
ผมเลยจัดแจงลาออกจากงานและไปอาศัยบ้านเพื่อนครับสักพักผมก็ทนไม่ได้ครับ
เลยไปบวช ที่วัดแถวๆ นั้น

เพื่อนก็ถามว่าแล้วทางบ้านทางภรรยารู้หรือเปล่าว่าจะบวช
ผมก็บอกว่ามีปัญหากันนิดหน่อยแต่ทางนั้นทราบแล้วว่าผมอยู่ที่นี่ (จริงๆ
ผมไม่ได้บอกใครเลยครับ) เวลาผ่านไป ผมก็เริ่มสงบลง
เมียผมและครอบครัวผมคงทราบจากเพื่อนว่าผมมาบวชอยู่ที่นี่ก็ตามมาโน้มน้าวให้กลับบ้าน
แม่ก็มาขอร้อง แต่ตอนนั้นผมต้องการสงบครับ
ผมก็ตอบว่าถึงเวลาจะกลับไปจัดการทุกอย่างเอง ขออย่าให้ทุกคนเป็นห่วง
เมียผมเองก็เพียรอ้อนวอนจนอ่อนใจ และทำใจจึงกลับไป
ผมบวชเรียนอยู่เกือบปี
อยู่มาวันนึงเจ้าอาวาสก็เรียกเข้าไปคุยว่า
"เมื่อยามมีทุกข์ก็ได้มาผ่อนทุกข์ของตนเองแล้ว
บัดนี้เห็นว่าสงบลงและมีสติขึ้นมาก
คุณจะเห็นควรกลับไปบรรเทาทุกข์ให้คนข้างหลังหรือไม่
อาตมาไม่ได้ขับไล่เพียงแต่แนะนำ สุดแล้วแต่การตัดสินใจเถิด"
ผมเองก็มีสติขึ้นจากการบวชว่าผมหลบมาคนเดียวนี่ผมปลงทุกข์ของตนแล้ว
แต่คนข้างหลังคงยังมีทุกข์ ผมเลยสึกครับ
พอสึกแล้วก็พักอยู่บ้านเพื่ออีก 2-3 วัน
นั่งสมาธิทุกคืน เมื่อมีสติก็คิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ
ได้ชัดเจนครับว่าเธอเป็นภรรยาที่ดีของผมมาตลอดไม่เคยบกพร่อง
เป็นห่วงเป็นใย ช่วยเหลือ ตั้งแต่สมัยเป็นแฟนเคยดีอย่างไร
แต่งแล้วก้ยังดีเหมือนเดิมทุกประการ ผมเลยกลับบ้านครับ ก็หวั่นๆ
อยู่ว่าเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง และจะพร้อมกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่
เมื่อถึงบ้านและพบเธอ เธอดูซูบไปมาก ใบหน้าหมองคล้ำ
เธอไม่แสดงอาการอะไรนอกจากถามผมเหมือนทุกครั้งที่ผมกลับบ้านว่า
เหนื่อยไหม หิวหรือยัง จะอาบน้ำก่อนหรือทานข้าวก่อน เธอเตรียมกับข้าวไว้แล้ว
(ผมมารู้ทีหลังว่าตั้งแต่ผมจากไป
เธอยังคงทำกับข้าวรอผมทุกวัน เพราะเผื่อวันใดผมกลับมา
จะได้มีอาหารพร้อมไม่ต้องนั่งหิวรอ)
ผมน้ำตาไหลเลยครับ พูดไม่ออก คว้าเธอมากอดและขอโทษ ครั้งนี้
ผมลงกราบเท้าขอโทษเธอเหมือนครั้งที่เธอเคยกราบอ้อนวอนผมมาก่อน
เพราะผมรู้สึกว่าผมทำร้ายของล้ำค่าของผมได้อย่างไร


ผมปล่อยให้เธอจมอยู่กับความทุกข์ทรมานอยู่คนเดียวโดยผมหนีไปหาความสงบคนเดียวได้อย่างไร
ผมเป็นสามีที่เห็นแก่ตัวมากๆ เธอไม่โกรธเลย ยิ้มรับผม
เราต่างกอดกันร้องไห้ทั้งคืนโดยไม่พูดอะไรเลย
มันสื่อกันด้วยความรู้สึกนะครับ
ไม่มีคำต่อว่าจากปากเธอแม้แต่คำเดียว ไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่ผ่านมา
ตอนนี้เราก็กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วครับ เรื่องนี้ผ่านมาประมาณ 4 ปีแล้ว
ตอนนี้เธอท้องแล้วครับ ผมอัลตร้าซาวด์แล้ว ผมกำลังจะมีลูกชายครับ

ผมดีใจมากและทุกวันนี้ก็ภูมิใจมากที่มีศรีภรรยาคนนี้มาเป็นแม่ของเจ้าตังค์
(แอบตั้งชื่อไว้ก่อนน่ะครับ แบบว่าเห่อ)
เราสองคนไม่มีใครรื้อฟื้อนเรื่องนั้นอีกเลย
มีเพียงแต่ว่าทุกสัปดาห์จะไปวัดด้วยกันและทำบุญตักบาตร
แผ่เมตตาให้แก่ลูกคนแรกของเธอครับ
ผมเล่ามานี่ก็เพื่ออยากให้คุณคิดได้และเข้าใจว่าหลังพายุเนี่ย
ถ้าเราผ่านมันไปได้ หลังจากนั้นก็คือท้องฟ้าที่สงบและสดใลครับ
ผมไม่สามารถรับรองได้หรอกว่าทุกท่านจะโชคดีเหมือนอย่างคู่ผม
แต่ผมขออวยพรนะครับ

ผมมั่นใจว่าวันหนึ่งทุกคนต้องผ่านพ้นความทุกข์ไปได้และพบกับสิ่งดีงามครับ ...."

เขาบริหารเวลากันอย่างไร

เรื่องมีอยู่ว่า
ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งได้มีโอกาสไปพูดให้กลุ่มนักเรียนบริหารธุรกิจฟัง
วิธีดีที่สุดก็คือการใช้ตัวอย่างซึ่งผมเชื่อว่าพวกนักเรียนจะไม่ลืมเลย
หลังจากที่คุณได้รับรู้คุณก็จะไม่ลืมเช่นกัน

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญยืนต่อหน้านักเรียนกลุ่มใหญ่ เขาพลันพูดว่า
"เอาละได้เวลาเกี่ยวกับการทดสอบ (quiz)"
เขานำเอาภาชนะใสรูปร่างแบบอ่างที่แบบปิดฝาได้ขึ้นมาวางบนโต๊ะ
แล้วเขาก็เอาหินขนาดใหญ่ค่อย ๆ ใส่ลงไปในภาชนะทีละก้อน เมื่อหินเต็มภาชนะ
และไม่สามารถที่จะเติมหินได้อีกต่อไป

เขาก็ถามนักเรียนว่า "มันเต็มหรือยัง"
นักเรียนทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "เต็มแล้วค่ะ/ครับ"
เขาก็ถามกลับว่า "จริงหรือครับ"
แล้วเขาก็นำเอาก้อนกรวดออกมา แล้วค่อย ๆ ใส่ลงไปในภาชนะ พร้อม ๆ
กับเขย่าภาชนะ ทำให้ก้อนกรวดเคลื่อนตัวตกลงไปในช่องว่างของหินก้อนโต

เขายิ้มพร้อมกับถามกลุ่มนักเรียนอีกครั้งหนึ่งว่า "เต็มหรือยังครับ"
นักเรียนทุกคนเงียบ แต่นักเรียนคนหนึ่งพูดว่า "สงสัยว่ายังไม่เต็มครับ"
เขาตอบว่า "ใช่ครับ" พร้อมกันนั้นเขาก็เขามือไปหยิบถุงทรายขึ้นมาจากใต้โต๊ะ
แล้วก็เททรายใส่ลงไปในภาชนะ เขาเขย่าให้ทรายวิ่งลงไปในช่องว่างระหว่าง
หินก้อนใหญ่และระหว่างก้อนกรวด
เขาถามนักเรียนอีกครั้งว่า "มันเต็มหรือยัง"
ครั้งนี้ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "ยังไม่เต็มค่ะ/ครับ"
เขากล่าว "เยี่ยม ใช่ครับ มันยังไม่เต็ม"
แล้วเขาก็หยิบเขาโถน้ำขึ้นมาแล้วก็เทใส่ลงไปในภาชนะจนมันเต็มจนเอ่อ

เขามองไปที่นักเรียนทุกคนและถามว่าเขาแสดงอะไรให้พวกนักเรียนดู
นักเรียนหนึ่งยกมือขึ้นพร้อมกับพูดว่า
"ถึงแม้ว่าตารางการทำงานของคุณจะเต็มแน่นแค่ไหน ถ้าคุณพยายามอย่างหนัก
คุณจะสามารถทำงานบางอย่างได้มากขึ้น"
ผู้เชี่ยวชาญส่ายหน้าพร้อมกับสอนว่า "นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมกำลังสอน
ที่ผมสอนพวกเราก็คือ ถ้าคุณไม่ใส่หินก้อนใหญ่ลงไปก่อน
คุณจะไม่มีวันใส่มันลงไปได้เอาซะเลย"

"คุณจะเปรียบเทียบหินก้อนใหญ่ได้กับอะไรในชีวิตของคุณ"
- เวลาสำหรับครอบครัวและคนที่คุณรัก
- ความซื่อสัตย์ จริงใจ การศึกษา หรือ เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ
- เงื่อนไขต่าง ๆ และการตัดสินใจ
- สอนหรือแนะนำผู้อื่น
- งานที่คุณอยากทำให้สำเร็จลุล่วง
มันอาจจะเป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องจำไว้ว่า ทำหินก้อนใหญ่ ๆ ก่อน
ไม่อย่างนั้นคุณก็จะไม่ได้ทำมันเอาซะเลย

ตอนนี้คุณอาจหาเวลาว่าง ๆ
ลองคิดดูซิครับว่าอะไรคือ"หินก้อนใหญ่ในชีวิตของคุณ" ?

108 อวัยวะสาระพัดประโยชน์

หน้าผาก + อวัยวะที่ใช้ประกอบกับเท้าเวลามีทุกข์
เช่นนอนเอาเท้าก่ายหน้าผาก
ผม + เรียกอีกอย่างว่า "ขนหัว"
ใช้แสดงอาการตกใจมากๆ เช่น
ขนหัวลุก
ตา + อวัยวะที่ใช้ในการมอง
จะมีอุณหภูมิสูงมากเมื่อเห็นใครได้ดี
หู + อวัยวะที่ใช้ในการฟัง
ส่วนมากจะมีน้ำหนักเบา
จึงก่อให้เกิดเรื่องขึ้นบ่อยๆ
ปาก + อวัยวะที่ใช้พูด
ส่วนมากจะอยู่ไม่ตรงกับใจ
คอ + อวัยวะที่เชื่อมระหว่างตัวและหัว
เป็นอวัยวะที่คอยหันหาคนอื่น
ก้านคอ + อวัยวะที่คอยรับแข้งคนอื่น
ไหล่ + อวัยวะที่คู่กับบ่า
เช่นเคียงบ่าเคียงไหล่
มีไว้ให้คนเหงาใจหรือเศร้าใจซบโดยเฉพาะ
บ่า + อวัยวะที่คู่กับไหล่
เช่นเคียงบ่าเคียงไหล่
อาชีพจับกังมีไว้แบกข้าวสาร (ส่วนถนนข้าวสาร
จับกังไม่เกี่ยว)
หัวใจ + อวัยวะสูบฉีดเลือดและฟอกเลือดให้กับร่างกาย
มีไว้ให้แสดงความรักและเก็บรักไว้
ปอด + อวัยวะที่รับอากาศมาส่งหัวใจ
บางครั้งใช้แสดงระดับความกล้าหาญ
หน้าอก + อวัยวะที่รองรับเรื่องหนัก
อาทิเรื่องหนักอก
ซึ่งผู้หญิงจะหนักกว่าผู้ชาย
นม + อวัยวะที่บ่งบอกภาระการรับน้ำหนักของอก
ผู้หญิงมีไว้บริการนมให้บุตร
ผู้ชายถึงมีก็ไม่ได้ใช้ให้เกิดประโยชน์
แต่ก็ไขว่คว้าอยากได้มาเชยชม...

ศอก + ข้อต่อระหว่างแขนและข้อมือ
มีไว้เป็นอาวุธประจำกาย
และรองน้ำ
สำหรับบรรดาภรรยาน้อย
ไม่เป็นที่แนะนำสำหรับสาวๆ มันอันตราย
มือ + เป็นอวัยวะปลายสุดของแขน
มีนิ้วเป็นส่วนประกอบ
นิยมใช้เงินยกเห็นกันมากในสภา
กำปั้น + เป็นอวัยวะชิ้นเดียวกับมือ
แต่เปลี่ยนรูปเป็นอาวุธ
นิยมใช้ตัดสินปัญหา ในกรณีที่ไม่ได้ใช้สมองแก้ปัญหา
ตัว + เป็นชิ้นส่วนใหญ่ของร่างกายให้อวัยวะอื่นได้พักพิง
จะลืมกันมากเวลาได้ดี
สะดือ + เป็นอวัยวะที่ใช้เชื่อมต่อกับแม่ยามอยู่ในครรภ์
เมื่อโตขึ้นใช้วัดระดับความสุภาพ ถ้าต่ำกว่านี้ทะลึ่ง!!
ขาอ่อน + เป็นอวัยวะเชื่อมต่อจากสะโพกลงมา
นิยมใช้ในการประกวด เพราะเห็นได้เด่นชัดกว่าสมอง
หัวเข่า + ข้อต่อระหว่างขาและหน้าแข้ง
เป็นอาวุธประจำกาย
ผู้หญิงใช้โจมตี .จุดอ่อนผู้ชาย
และบางคนใช้ซับน้ำตาเวลาเศร้า
นิยมมากสำหรับคนหลงรักชาวบ้าน
แข้ง + อวัยวะที่ถัดมาจากเข่า
นิยมใช้พาดก้านคอ...
น่อง + อวัยวะที่อยู่ด้านหลังของแข้ง
ใช้วัดระดับความแข็งแรงของขา
และวัดความกร้านชีวิต
ขนหน้าแข้ง + อวัยวะที่วัดระดับของฐานะ
ยิ่งรวยมากขนหน้าแข้งจะร่วงน้อย
เท้า + เป็นอวัยวะที่ใช้ยืน
บางครั้งใช้ก่ายหน้าผาก
หรือเป็นอวัยวะที่ใช้ผลัก ซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่า "ยัน"

คนตัดไม้

มีคนตัดไม้คนหนึ่งนำฟืนไปขายให้แก่ร้านขายฟืน
ซึ่งร้านขายฟืนก็ปฏิบัติต่อคนตัดไม้ดีมาก
ดังนั้นคนตัดไม้จึงคิดอยากตอบแทน
โดยการจะตัดไม้ให้ได้เป็นจำนวนมากๆ
ในวันแรกคนตัดไม้ตัดไม้ได้ 20 ต้น
แล้วนำมาให้ร้านขายฟืนซึ่งร้านขายฟืนก็ชมเชยและปฏิบัติต่อคนตัดไม้อย่างดี
แต่พอในวันที่ 2 คนตัดไม้ก็ตั้งใจจะตัดให้ได้มากขึ้น
แต่ปรากฏว่ากลับตัดได้เพียง 18 ต้น
ในวันรุ่งขึ้นก็กะว่าจะตัดให้ได้มากยิ่งขึ้น
แต่ก็กลับเหลือ 16
ต้นยิ่งนับวันผ่านไปเรื่อยๆก็ตัดได้น้อยลงเรื่อยๆ

จนในที่สุดคนตัดไม้ก็รู้สึกละอายใจจึงไปกล่าวคำขอโทษกับทางร้านขายฟืน
แต่เจ้าของร้านขายฟืนก็กลับถามคนตัดไม้ว่า
"คุณลับขวานครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่"
คนตัดไม้ตอบว่า "ผมไม่มีเวลาหยุดลับขวานเลย
เพราะขนาดไม่หยุดยังตัดไม้ได้น้อยขนาดนี้"
ซึ่งเจ้าของร้านก็บอกแก่คนตัดไม้ว่า
คุณลองคิดดูสิว่าหากคุณหยุดลับขวานให้คมโดยเสียเวลาเพียงเล็กน้อย
คุณอาจตัดไม้ได้มากกว่านี้ก็ได้


เปรียบได้กับการทำงาน
ถ้าคุณก้มหน้าก้มตาทำโดยไม่หยุดพักหยุดคิด
ก็เปรียบได้กับคนตัดไม้ คุณก็จะล้าลงไปเรื่อย

เพื่อน กะ แฟน

*** หยุดคิดสักนิด ก่อนที่จะมองข้ามมันไป**

* เพื่อน คือ คนที่เราไม่ต้องโทร.หาทุกวัน
* เพื่อน คือ คนที่สามารถด่ามันได้ในเวลาที่เราไม่พอใจ
* เพื่อน คือ คนที่เราสามารถผิดนัดได้โดยไม่ต้องบอกเหตุผล
* เพื่อน คือ
คนที่สามารถพูดกับมันได้ทุกเรื่องถึงแม้บางเรื่องมันจะไม่สมควรก็ตาม
* เพื่อน คือ

คนที่เรามีความสุขแล้วเราไม่ต้องบอกมัน แต่เมื่อแเรามีความทุกข์เราวิ่งไปหามัน
มันก็ยินดีจะช่วยเราตลอดเวลา
ยามเมื่อเรามีปัญหาจะไม่ได้ยินคำปฏิเสธจากเพื่อน จะได้ยินแต่ว่า
“อยู่ที่ไหน อยู่ตรงไหน เดี๋ยวจะรีบไป”
* เพื่อน คือ คนที่เราสามารถ จับมือ กอดคอ มันได้ (ต่างเพศ)
โดยที่ไม่ต้องขอโทษไม่ต้องกลัวอะไร
* เพื่อน คือ คนที่รู้อะไรหลายๆ อย่างที่แฟนไม่รู้
* เพื่อน คือ คนที่เราไม่ต้องพูดหวาน ๆ ด้วย
------------------------------------------------------------------

* แฟน คือ คนที่เราต้องคอยแคร์เค้าตลอดเวลา
* แฟน คือ คนที่เราต้องทำตัวให้เป็นผู้นำให้เค้าเห็น
อยู่กับแฟนต้องเข้มแข็ง
* แฟน คือ คนที่เรารอได้ เป็น 2 - 3 ชม. แล้วบอกว่าไม่เป็นไร
(แต่ลองคอยเพื่อนหรือแม่ อย่างนี้สิ ด่าไม่หยุดแล้ว)
* แฟน คือ คนที่สามารถขับรถไปส่งได้แม้ว่าจะอยู่คนละโลก
(แต่ถ้าเป็นแม่ทั้งที่เป็นทางผ่านก็บอกว่า ไม่ผ่าน)
* แฟน คือ คนที่เมื่อเรามีทุกข์เราไม่อยากให้เค้ารับรู้
* แฟน คือ กำลังใจยามเมื่อเราท้อแท้
* แฟน คือ คนที่เราต้องง้อ แม้บางครั้งเราไม่ได้ผิด
************************************************

แต่บางครั้งเราก็ยังเห็นความสำคัญของแฟนมากกว่าเพื่อน

ความกดดัน

นักพูดท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ในการพูดของเขาครั้งหนึ่งถึงเรื่อง
"การจัดการกับความกดดัน"

เขาได้ยกน้ำขึ้นมาหนึ่งแก้วแล้วถามผู้ฟังว่า
คุณคิดว่าแก้วนี้น่ะหนักมะ???
มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณถือมันนานแค่ไหน
ก็ถ้าคุณถือแค่ซักนาทีนึง .. มันก็ยัง OK นะ
ถ้าคุณถือจนชั่วโมงนึง ..
นั่นก็จะทำให้ปวดแขนได้
แต่ถ้าถือไว้ซักวันนึงล่ะ ..
ที่นี้คุณจะต้องเรียกรถพยาบาลแน่ๆ
มันก็น้ำหนักเท่าเดิมแหละนะ ..

แต่ว่ายิ่งคุณถือไว้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งหนักเท่านั้น

ถ้าคุณแบกภาระนั้นไว้ตลอดเวลา , ไม่ช้าก็เร็ว
เราก็จะไม่สามารถที่จะแบกรับมันได้อีก
แล้วภาระนั้นก็จะเพิ่มขึ้น
สิ่งที่คุณต้องการจะทำก็คือวางแก้วลง
ผ่อนคลายซักครู่
แล้วค่อยถือมันอีกครั้ง
เราต้องปล่อยวางภาระต่างๆ บ้าง
แล้วเราจะได้รู้สึกสดชื่นขึ้น

เพื่อที่จะสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้
เมื่อกลับบ้านแล้ว
จงวางภาระต่างๆที่ๆทำงานไว้
อย่าแบกภาระนั้นกลับไปด้วย .

เพราะยังไงก็ตามคุณก็สามารถจะแบกมันได้อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ..

พัก และ ผ่อนคลายเสีย .

ยุง กับ นิยามรัก

ยุงหิวโหย.. อาหาร จึงออกหาเลือดอุ่น ๆ รองท้อง
คนหิวโหย.. ความรัก จึงออกตามหารักอุ่น ๆ รองใจ
ศิลปะการดื่มเลือดของยุง คือ ค่อย ๆ ย่อง อุ๊ย!! บินซิเนอะ
บินเข้าไปในมุมมืด บรรจงแทงปากทะลุทลวงผ่านผิว
เข้าไปดูดเลือดอุ่น ๆ ของคุณ โดยคุณไม่รู้ตัว
ศิลปะความรัก คือบรรจงแทรกแซง ชอนไช
ทะลุทลวงความรู้สึก เข้าไปฝังลึกอยู่ในหัวใจ
ของคุณอย่างช้า ๆ อบอุ่นในหัวใจ โดยคุณไม่รู้ตัว
กว่าคุณจะรู้ตัว ยุงก็อิ่มแปร้ บินกลับบ้าน
กว่าคุณจะรู้ตัว รักก็มากมายเกินห้ามใจ
ยุงตัวไหน ปากหนัก กัดเจ็บ บินไม่เร็วพอ บินไม่รู้จังหวะ
บินผิดมุมให้คนเห็นหรือรู้ตัวก่อน ถึงฆาตมาแล้ว กว่า 90 %
น้อยนักที่จะรอดฟันฝ่ามือพิฆาตและไบกอนเขียวไปได้
คนคนไหน ไม่เคยรัก ไม่รู้จักรัก
จีบไม่เป็น ไม่มีโอกาส ไม่รู้กาละเทศะ

และเหตุผลอีกมากมาย นานับประการที่จะหยิบมาเอ่ยอ้างถึง
ความไม่สันทัดจัดเจนเรื่องรัก ก็น้อยนักที่จะรอดพ้น อาการแห้วไปได้
พอยุงกินอิ่มหนำก็บินจากไป และพร้อมจะกลับมาใหม่เมื่อโหยหิว
ก็เหมือนรักของคนเจ้าชู้อิ่มหนำแล้วก็ผ่านไป แต่จะกลับมาใหม่เมื่อโหยหา
ถึงจะถูกตบ ถูกฉีดยา ถ้าไม่ตายเสียก่อน พร้อมจะกลับมาใหม่เมื่อหิวอีกครา
ไม่เข็ดแฮะ ก็เหมือนคน เจ็บช้ำสักเท่าไหร่
ถ้าไม่ถึงตาย หัวใจก็ยังโหยหารัก อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ...
..ถึงจะกางมุ้ง จุดยากันยุง หรือติดมุ้งลวด
ยุงก็ยังคงเข้ามาได้อยู่ดีแหละ
ความรักก็เหมือนกัน ห้ามใจเท่าไหร่ หลีกหนียังไง
รักก็ยังเล็ดลอดเข้ามาได้อยู่ดี
เจ็บใจจริง ๆ ตีมันไม่ทัน มันบินหนีปายโน่นแล้ว
ท้องเป่งเชียว กินเลือดย้อมอิ่มสิท่า
คราวหน้านะอย่าให้เจอละกัน... แม่..จะตบให้แบนเลย
ฮึเจ้าชู้ดีนัก...เอ้ย ! ...กัดเจ็บดีนัก...........อิอิอิ

10 ขั้นตอนการใช้ชีวิตคู่ที่ดี

1. เป็นตัวของตัวเอง และยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น
อย่าพยายามเปลี่ยนคนรักของคุณให้เป็นในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น แฟนคุณอาจจะไม่ได้สวยเหมือนนางงาม หรือหล่อเหมือนนายแบบ ขอให้รักในสิ่งที่คนรักของคุณเป็น ยังมีอีกหลายสิ่งอีกมากมายในตัวคนรักของคุณ ซึ่งมากกว่าสิ่งภายนอกที่ตาของคุณมองเห็น

2. มีอะไรต้องพูดกัน
สำหรับคุณผู้ชาย อาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพูดต้องเล่าทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งบางทีคุณคิดว่ามันไร้สาระ ซึ่งต่างจากผู้หญิง อย่ามัวนั่งเดาความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ให้เรียนรู้ที่จะพูดและแสดงออกว่าคุณรู้สึกอย่างไร เพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า คุณกำลังรู้สึกอะไร ต้องการอะไร ทำไมคุณถึงอารมณ์ไม่ดี หรือแม้แต่วันนี้ที่คุณอารมณ์ดีเนี่ย เป็นเพราะอะไร เมื่อคุณไม่ต้องการหรือหยุดที่จะถ่ายทอด บอกเล่าความรู้สึกของคุณให้กับอีกฝ่ายได้รับฟัง นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของความรัก

3. หากิจกรรมทำร่วมกัน
ข้อนี้ง่ายมาก หากิจกรรมอะไรก็ตามที่ทั้งคู่ สามารถทำด้วยกันแล้วมีความสุข กระทำร่วมกัน คุณอาจจะนั่งดูทีวี หรือไปเดินเล่นจูงมือกันในห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะ ตามแต่รสนิยมของคุณทั้งคู่ แล้วก็ต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือเรียกว่าเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน โดยคุณผู้หญิงนานๆที ก็ลองนั่งดูรายการฟุตบอลรายการโปรดของแฟนคุณ เปลี่ยนบรรยากาศ ส่วนคุณผู้ชายก็อาจจะลองไปเดิน shopping เป็นเพื่อนแฟนคุณดูสักครั้ง แทนที่จะไล่ให้แฟนคุณไปช๊อบปิ้งกับเพื่อนของเธอ อาจจะทำให้ทั้งคู่เข้าใจอารมณ์ของกันและกันมากยิ่งขึ้น การที่คุณใช้เวลากับเพื่อนของคุณมากกว่ากับแฟนของคุณ นั่นอาจจะเป็นสัญญาณอันตรายบ่งบอกว่า ความสัมพันธ์ของคุณกำลังสั่นคลอน

4. พบกันคนละครึ่งทาง
ถ้าหากแฟนหนุ่มของคุณกล้าที่จะโยนเสื้อตัวโปรด ขาดๆ เก่าๆ แต่คุณไม่ชอบของเค้าทิ้ง คุณก็ไม่ควรจะโกรธถ้าเค้าขอร้องให้คุณเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย ความสัมพันธ์ที่สมดุลและแนบแน่น ต้องประกอบไปด้วยการให้และการรับ เพราะฉะนั้นจงเรียนรู้ที่จะพบกันคนละครึ่งทาง

5. แสดงความรักของคุณให้เค้ารู้
ลองซื้อดอกไม้ ขนม หรือน้ำหอม ให้กับคนที่คุณรักอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าคุณจะคบกันมา 5 ปีแล้วก็ตาม มันจะทำให้คุณรู้สึกดีที่ได้แสดงความรักแก่คนที่คุณรักอย่างสม่ำเสมอ นี่เป็นการบริหารความสัมพันธ์ของคู่ของคุณ แม้ว่าจะคบกันมานาน หัดเอาใจใส่ในสิ่งเล็กๆน้อยๆ ของคนที่คุณรักและแสดงให้เค้าเห็นว่า คุณใส่ใจ อาจจะเป็นเรื่องอาการไม่สบาย ขนมที่เค้าชอบ หรือสีโปรดของเขา สิ่งเหล่านี้ เรารับรองว่าถ้าคุณลองทำ ความรักของคุณจะชุ่มชื่น จนใครๆอิจฉา

6. ให้เกียรติซึ่งกันและกัน
หยุดล้อเล่นและหัวเราะเยาะปมด้อย หรือข้อบกพร่องในตัวเค้า หากเป็นเป็นสิ่งที่คุณเคยชินที่จะทำ ลองไตร่ตรองดูว่า เขาหรือเธออาจไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกด้วยก็ได้ ถ้าหากว่าเค้ามีปมด้อย ตรงความเตี้ยของเขา คุณก็ควรจะหยุดเปรยชมคนตัวสูงๆ ที่บังเอิญเดินผ่านเข้ามา รู้มั๊ยว่านั่น เป็นการทำลายความมั่นใจและความรู้สึกของเขาโดยตรง ความรักเป็นเรื่องของการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และแคร์ความรู้สึกของกันและกันตลอดเวลา

7. ลืมความหลังเก่าเสีย
หยุดพูดถึงเรื่องเก่าๆ ไม่มีใครหรอกที่อยากจะพูดถึงและนึกถึงเรื่องที่เศร้าหรือเรื่องผิดพลาดในอดีตของตัวเอง รู้จักให้อภัยและเลิกขุดคุ้ยข้อผิดพลาดของกันและกัน ให้อดีตเป็นเพียงสิ่งที่ผ่านไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ปัจจุบันมากกว่า

8. เลิกนิสัยขี้อิจฉาของคุณ
เราพนันได้เลยว่า ทุกคนมีความรู้สึกไม่ปลอดภัย และระแวงในช่วงต้นของความสัมพันธ์ แต่อย่าเปลี่ยนความรู้สึกไม่ปลอดภัยและระแวงมาเป็นความอิจฉา วิธีทดสอบว่าคุณเริ่มอิจฉาก็คือ คุณเริ่มที่จะตรวจสอบกระเป๋าสตางค์หรือของส่วนตัวของเค้า นั่นแหละ ใช่เลย คุณกำลังระแวงเค้าอยู่ ความอิจฉา หรือความขี้หึงก็เหมือนกับยาพิษที่ค่อยๆ ทำลายความรักและความสัมพันธ์ของคุณ ไปทีละเล็กทีละน้อยโดยที่คุณไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นจงเชื่อมั่นในตัวคนรักของคุณ ความรักจะต้องมีความมั่นใจเป็นพื้นฐาน

9. ฝึกเป็นคนรักษาคำพูด
ถ้าคุณเป็นคนชอบผิดนัดและผิดสัญญา ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องจับเข่าคุยกันให้รู้เรื่อง หากคุณคิดว่าจะคุณจะมีคนรัก คุณก็ควรจะให้ความสำคัญแก่คนรักของคุณ และพยายามอย่าทำให้เค้าผิดหวัง ถ้าหากเป็นเรื่องที่ไม่สุดวิสัยจริงๆ เพราะมันจะทำให้เขารู้สึกแย่เมื่อคนรักของคุณต้องรอคุณทานข้าว แล้วคุณไม่มา ถ้าหากคุณไม่สามารถทำตามสัญญา ก็อย่าสัญญา เพราะว่าเมื่อไรก็ตามที่คนรักของคุณ เริ่มที่จะรู้สึกว่า เค้าไม่มีความสำคัญต่อคุณสักเท่าไหร่ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณได้สูญเสียเค้าคนนั้นไปแล้วก็ได้

10. จงซื่อสัตย์ต่อตนเองและคนรักของคุณ
ความซื่อสัตย์ที่เราหมายถึงคือ การอธิบายความรู้สึกของคุณอย่างตรงไปตรงมาแก่คนรัก อย่าปิดบังความรู้สึก ถ้าคุณรู้สึกว่าเค้าทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวด หรือโกรธเคือง จงบอกเค้า อย่างไม่ต้องอาย ถ้าหากคุณไม่สามารถที่จะรักษาความซื่อสัตย์ต่อคนที่คุณรักได้แล้ว ใครล่ะ ที่คุณจะรักษาความซื่อสัตย์ด้วยได้ ความรักคือการให้ความซื่อสัตย์ซึ่งกันและกัน ในทางตรงกันข้ามความสัมพันธ์ที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ ก็อาจจะไม่ควรค่ากับความสัมพันธ์ที่คุณได้ทุ่มเทไป

ดินสอ กับ ยางลบ

มีดินสอที่เขียนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่แท่งหนึ่ง
มียางลบที่ลบอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่ก้อนหนึ่ง
ฟังดูอาจตลกทุกคนอาจคิดว่าดินสอกับยางลบเป็นของคู่กันแต่ลองอ่านดูก่อนนะครับ
ดินสอแท่งนั้นเป็นเพื่อนกับยางลบก้อนนั้น
ทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันทำอะไรด้วยกัน
หน้าที่ของดินสอก็คือเขียน
มันจึงเขียนทุกที่ทุกอย่างเสมอตลอดเวลาที่อยู่กับยางลบ
หน้าที่ของยางลบก็คือลบ มันจึงลบทุกอย่างที่ดินสอเขียนทุกที่ทุกเวลา

เวลาผ่านไปนานหลายสิบปี ทุกอย่างก็ยังดำเนินเหมือนเดิมเรื่อยมา
จนกระทั่งดินสอเอ่ยกับยางลบว่า เรากับนายคงอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว ยางลบจึงถามว่าทำไมล่ะ
ดินสอจึงตอบกลับไปว่า ก็เราเขียนนายลบแล้วมันก็ไม่เหลืออะไรเลย ยางลบจึงเถียงว่า
เราทำตามหน้าที่ของเราเราไม่ผิด
ทั้งคู่จึงแยกทางกัน
ดินสอพอแยกทางกับยางลบมันก็ดีใจที่สามารถเขียนอะไรได้ตามใจมัน
แต่พอเวลาผ่านไปมันเริ่มเขียนผิดข้อความที่สวยๆที่มันเคยเขียนได้ก็สกปรกมีแต่
รอยขีดทิ้งเต็มไปหมด

มันคิดถึงยางลบจับใจ
ฝ่ายยางลบพอแยกทางกับดินสอมันก็ดีใจที่ตัวมันไม่ต้องเปื้อนอีกต่อไป
พอเวลาผ่านไป มันกลับใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าเพราะไม่มีอะไรให้ลบ
มันคิดถึงดินสอจับใจ ทั้งคู่จึง
กลับมาอยู่ด้วยกันใหม่ คราวนี้ดินสอเขียนน้อยลงเขียนแต่สิ่งที่ดี
ส่วนยางลบก็ลบเฉพาะที่ดินสอเขียนผิด
เท่านั้น

ถ้าเปรียบการเขียนเป็นการจำดินสอ ในตอนแรกก็จำทุกเรื่องทั้งดีและไม่ดี
แต่พอเปลี่ยนไป มันก็หัดเลือกจำแต่สิ่งดีๆเท่านั้น ส่วนการลบเปรียบเหมือนการลืม
ยางลบในตอนแรกก็ลืมทุกอย่างทั้งดีและไม่ดี
แต่ทุกครั้งที่ลืมเรื่องดีตัวมันก็จะสกปรกป่าวๆ แต่ตอนหลังมันเลือกลืมแต่เรื่องไม่ดี
หรือคือการให้อภัยนั่นเอง ฉะนั้นการเปรียบการเดินทางของทั้งคู่ดุจมิตรภาพ คือ
การจำแต่สิ่งดีๆ และลืมในสิ่งที่อาจผิดพลาดบ้าง
ขอให้ทุกคนเป็นอย่างดินสอกับอย่างลบตอนหลังนะ

จงฟังเสียงของความรัก..

หลายครั้งที่เราเขินอายไม่กล้าแสดงออกซึ่งรักที่เรามี
เพราะกลัวจะทำให้ตัวเองหรือผู้อื่นกระดากกระเดื่อง เราลังเลที่
จะพูดไปตรงๆ ว่า "ฉันรักเธอ" เราจึงพยายามสื่อความรู้สึกนี้ออก
ไปด้วยคำอื่น เช่น "รักษาตัวดีๆนะ" หรือ "อย่าขับรถเร็วนัก" หรือ
"โชคดีนะ" แต่จริงๆแล้วมันก็เป็นแค่วิธีต่างๆ ในการพูดว่า "ฉันรักเธอ"
"เธอสำคัญต่อฉัน" "ฉันสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ"
"ฉันไม่อยากให้เธอบาดเจ็บ" คนเรานี้บางครั้งก็ประหลาด
สิ่งเดียวที่เราอยากจะพูด และเป็นสิ่งที่ควรพูด เรากลับไม่พูดออกไป
กระนั้น การที่เรารู้สึกเช่นนั้นจริงๆและอยากจะพูดออกไปมาก
เป็นผลให้เราใช้คำหรือสัญญาณอื่นที่บอกว่าจริงๆแล้วเราหมายถึงอะไร
แต่หลายครั้งที่ความหมายเหล่านั้นสื่อไปไม่ถึง
ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ต้องการเพราะฉะนั้น
เราจึงต้องฟังเสียงของความรัก ในคำที่ผู้อื่นพูดกับเรา

บางครั้งคำพูดที่ชัดแจ้งก็จำเป็น
แต่บ่อยครั้งที่อากัปกิริยาในการพูดนั้นสำคัญยิ่งกว่าคำพูดเหน็บแนม
ใส่ความรักและชื่นชอบไว้ในความรู้สึกซึ่งแสดงออกมาอย่างไม่จริงใจ
การกอดเร็วๆ เป็นการบอกว่าฉันรักเธอ
แม้ว่าคำที่พูดออกมาอาจเป็นอย่างอื่น
การแสดงออกถึงความห่วงกังวลที่คนหนึ่งมีต่ออีกคนหนึ่งเป็นการบอกว่า
ฉันรักเธอ แต่บางครั้งก็แสดงออกมาอย่างเงอะงะ หรือแม้แต่ดุร้าย
บางครั้งเราก็ต้องตั้งใจมองและฟังมากๆ
เพื่อรับรู้ความรักที่อยู่ภายใน
มันมักจะอยู่ใต้ผิวที่คลุมอยู่

แม่อาจจะบ่นว่าลูกชายบ่อยๆเรื่องผลการเรียนหรือการทำความสะอาดห้อง
ลูกชายอาจได้ยินแค่เสียงบ่น แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆ
เขาจะได้ยินความรักซึ่งอยู่ใต้เสียงจุกจิกจู้จี้นั้น
แม่ต้องการให้ลูกทำดี และประสบความสำเร็จ

แต่น่าเสียดายที่ความห่วงใยและความรักลูกชายออกมาในรูปของการบ่นว่า...
แต่อย่างไรมันก็คือความรัก
ลูกสาวกลับบ้านช้ากว่าที่อนุญาต และพ่อมาดุแรงๆด้วยความโกรธ
ลูกสาวอาจได้ยินแค่ความโกรธ
แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆจะได้ยินความรักที่อยู่ใต้ความโกรธนั้น
พ่อกำลังพูดว่า "พ่อเป็นห่วงลูก เพราะพ่อใส่ใจลูก รักลูก
ลูกสำคัญต่อพ่อ" เราบอกรักด้วยวิธีต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นของขวัญวันเกิด กระดาษโน้ตใบเล็กๆ รอยยิ้ม
และบางครั้งก็น้ำตา

บางครั้งเราแสดงออกซึ่งความรักด้วยการนิ่งเงียบและไม่พูดอะไรเลย
แต่บางครั้งก็พูดออกมา ถึงขนาดห้วนๆ ก็มี
บางครั้งเราแสดงความรักโดยไม่ได้ยั้งคิด..
หลายครั้งเราต้องแสดงความรัก..
ด้วยการยกโทษให้คนที่ไม่ได้ยินความรักที่เราพยายามส่งไป

ปัญหาในการฟังเสียงของความรักคือ
เราไม่ค่อยเข้าใจภาษาแห่งรักที่ผู้อื่นใช้
เด็กสาวอาจใช้น้ำตาหรือแสดงอารมณ์เพื่อบอกว่าเธออยากจะพูดอะไร
แต่แฟนของเธออาจไม่เข้าใจ เพราะเขาคาดหวังให้เธอพูดภาษาเดียวกับเขา
ดังนั้นเราจึงต้องบังคับตัวเองให้ตั้งใจฟังเสียงแห่งรัก

ปัญหาใหญ่คือคนเราไม่ค่อยฟังกัน เราได้ยินคำพูด
แต่เราไม่ฟังความหมายจริงๆของคำนั้น หรือไม่ดูการแสดงออกทางสีหน้า
หรือบางครั้งเราก็ฟังเพื่อจะปฏิเสธและเข้าใจผิด
เราไม่เห็นความรักที่อยู่ลึกลงไป
แม้ว่าคำพูดที่ออกมาจะแสดงความโกรธก็เถอะ..
เราต้องฟังเสียงของความรักจากผู้คนรอบข้างบ้าง ถ้าฟังดีๆจะพบว่า..
เรามีคนรักมากกว่าที่คิด

ฟังเสียงของความรักเถิด.. แล้วเราจะพบว่า.. โลกนี้น่าอยู่ยิ่งนัก
ความรักคือสิ่งที่ให้ความสุข..
ทำให้เราหัวเราะ..
ทำให้เราร้องเพลง..
ทำให้เราเสียใจ..
ทำให้เราร้องไห้..
ทำให้เราหาเหตุผล..
ทำให้เราเป็นผู้รับ..
ทำให้เราเป็นผู้ให้..
นอกเหนือจากอะไรทั้งหมด .....ความรักทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้

คนอื่นจะอยู่หรือไม่อยู่กับเราไม่ได้แตกต่างอะไรนัก
เพราะเราไม่เห็นต้องรู้สึกว้าเหว่แม้จะอยู่คนเดียว
บางครั้งมันก็ดีที่ได้อยู่คนเดียว
แต่นั่นไม่ได้ทำให้เราโดดเดี่ยว..
การอยู่กับใครสักคนไม่ใช่เรื่องสำคัญ
การให้คนอื่นรู้ว่ามีเราอยู่ต่างหากที่สำคัญ ดังนั้น จำไว้ว่า
ถ้าคุณรักใคร.. ก็บอกเขาไปเถิด พูดอย่างที่คุณต้องการ
อย่ากลัวที่จะแสดงตัว ใช้โอกาสนี้บอกเขา..
ว่าเขามีความหมายต่อคุณเพียงใด
อย่าปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไป จะได้ไม่ต้องมาเสียใจ --
สิ่งสำคัญที่สุดคือ อยู่ใกล้ๆ เพื่อนและครอบครัวของคุณ
เพราะพวกเขาช่วยให้คุณเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ความแตกต่างระหว่างการแสดงความรักและการมานั่งเสียใจคือ...
ความเสียใจอาจจะคงอยู่ไปตลอด

ถ้าคุณอยากให้คนอื่นมีความสุข จงแสดงความรัก
และถ้าคุณอยากมีความสุข ก็จงแสดงความรัก